วันอังคารที่ 13 พฤศจิกายน พ.ศ. 2561

Flying to Brisbane 27

Going to Brisbane.
2 ..2551
          วันนี้เป็นวันสุดท้ายของการเรียนที่ EF แล้ว ถึงอย่างไรก็รู้สึกเฉยๆ มีความรู้สึกเหมือนทุกๆวันทีผ่านมา ดังนั้นตอนตื่นขึ้นมาก็อดแถมนิดแถมหน่อยไม่ได้
          ออกจากบ้านตอน 6:30 ไปขึ้นรถสาย 560 ที่หน้าโรงเรียน Regents Park Primary School ที่อยู่บนถนน Emerald Drive ถนนอีกสายที่อยู่ใกล้ๆกัน
          วันนี้อากาศหนาวน้อยกว่าเมื่อวาน เดินไปกินขนมปังไปเรื่อยๆ แต่พอไปถึงป้ายรถเมล์รู้สึกว่าอากาศจะหนาวขึ้นต้องยืนรอรถที่กลางแดด
          ตอนแรกคิดว่าจะไม่เอาคอมพ์ไปด้วยเพราะหนักแต่พอคิดได้ว่า บอกกับน้องๆไว้ว่าวันนี้จะ Copy ไฟล์ Power Point และไฟล์ไดอารี่ให้เลยต้องยอมเหนื่อย
          รถ 540 พาเราไปถึง Cultural Centre ได้เร็วกว่าสายอื่นๆ เพราะถึงแม้ว่าวันนี้จะเป็นวันเปิดเรียน แต่ก็ใช้เวลาแค่ 50 นาทีเอง
          ก่อน Lindy จะเข้าสอนก็ก๊อปข้อมูลให้น้องแอนน้องอัญกับน้องตูนเรียบร้อย วันนี้เป็นการเสนอปัญหาต่างๆที่พวกเราทำ Research ผ่านทาง Power Point ช่วงนี้เราก็ก๊อปข้อมูลให้คนอื่นๆต่อ
          รายการของกลุ่มเราในวันนี้การนำเสนอไม่เป็นไปตามที่เราทำไว้ เพราะเครื่องคอมพ์ของ Lindy ใช้เวอร์ชั่น 2000 ตอนที่พูดถึงปัญหาระเบียบวินัยในห้องเรียนของเด็กไทย ข้อที่ว่าชอบคุยกันตอนที่ครูสอน รูปที่เราเตรียมไว้กลับแสดงผลคลาดเคลื่อนออกมาแค่รูปเดียว และรูปที่เหลือไม่ยอมเลือนหายไป ทำให้ตัวอักษรในข้อต่อๆมาขึ้นมาทับรูปภาพ ทำให้อ่านไม่ค่อยสะดวก
          พระเอกของกลุ่มเราในวันนี้คืออานนท์เช่นเดิม เขาแกล้งพูดไทยปนบ้างบางครั้งเรียกเสียงฮาได้ตลอด
          รายงานจนครบทุกกลุ่ม Lindy จะให้ไปพัก แต่ช่วงนี้รู้สึกว่าจะมีปัญหาเพราะพี่ประกอบยังไม่ได้นำเสนอเพราะไม่ได้ทำ Power Point ส่ง เลยขอนำเสนอเดี๋ยวนั้นเลย
          พี่ประกอบเกิดปีเดียวกับเรา แต่อ่อนเดือนกว่า เป็นคนที่ไม่ค่อยพูดแต่เป็นคนมีน้ำใจ เรื่องภาษาอังกฤษไม่ต้องพูดถึง เก่งกว่าเรามาก ทั้งการพูดที่คล่องแคล่วและการนำเสนอที่ไหลลื่นตลอด
          อีกกลุ่มหนึ่งที่มีปัญหาคือกลุ่มของน้องอูมอัจฉริยะประจำกลุ่ม เธอบอกว่าส่ง E-mail และแนบไฟล์ไปให้ Joleene แล้ว แต่ทำไมข้อมูลของเธอจึงไม่มี รู้สึกว่าเธอจะไปนำเสนอกันตอนหลังเพราะเราออกมาก๊อปข้อมูลให้คนอื่นๆต่อ และต่อมา Lindy กับ Kate ก็ลงไปพิมพ์เกียรติบัตร
          รู้สึกดีใจ ภูมิใจและประทับใจมากที่ผลงานที่เราทำเล่นๆเพื่อเก็บเอาไว้เป็นความทรงจำ กลับถูกใจน้องๆหลายคน Power Point แต่ละเรื่องที่เราทำ ทุกคนที่ได้ดูได้เห็นต่างก็ชอบกัน ขอก๊อปกันเกือบครึ่งห้องเลยต้องใช้เวลาในช่วงนี้ทำให้เสร็จให้หมด
          เกือบเที่ยงที่ Lindy กับ Kate ขึ้นมา แล้วก็เริ่มเข้าสู่พิธีมอบเกียรติบัตรซึ่งทำกันง่ายๆสบายๆในห้องเรียน พวกเราช่วยกันขยับเก้าอี้เพื่อให้มีที่สำหรับถ่ายรูป แล้วมอบกันหน้าห้องนั่นเอง
          เกียรติบัตรทั้งชุดจะมี 4 ใบ มีเกียรติบัตร ใบแสดงผลความสามารถทางการใช้ภาษาทั้ง 4 ทักษะ ใบประเมินผลการเรียน และใบรายงานผลการเรียนที่คิดเป็นเกรด คะแนนของเราส่วนใหญ่อยู่เกรดบี ได้คะแนนเฉลี่ย 3.04 และผลการสอบทางด้านภาษาก่อนอบรมได้ 50 เต็ม 70 และหลังอบรมได้ 59 ก็อยู่ในเกณฑ์ใช้ได้นะสำหรับคนแก่วัย 53 แบบเรา
          เสร็จพิธีมีการมอบของที่ระลึกให้ Lindy และ Kate สมพรมอบให้ Lindy พอถึง Kate น้องๆกลับเรียกเราให้ไปมอบ งงว่ะ ทำไมต้องเป็นเรา ก็ต้องออกไปมอบ น้องๆบอกว่า พูดด้วยๆ อ้าว….แล้วจะพูดอะไรล่ะ หันไปหาน้องอูมจะให้ช่วยพูด น้องอูมก็เฉย คงงงเหมือนกันนั่นแหละ เอาวะ เอาไงเอากัน “They want me to give you a souvenir because I am the oldest.” หยุดไปครู่หนึ่ง ไม่รู้ว่าอะไรดลใจให้พูดไปว่า “I want to tell you that our hearts belong to you.” พอพูดจบน้องๆ เฮกันตรึมเลย ไหนว่าพูดไม่เป็น น้ำตาลอายไปเลย“โหสั้นๆแต่กินความชะมัดเลย” เราเองก็งงนะ พูดไปได้ยังไง
จากนั้นก็มีปาร์ตี้กันเล็กๆ มีน้ำอัดลม ขนมและผลไม้กินกันไปถ่ายรูปกันไป แซวกันไปสนุกดี
ร้านมาเลย์ในวันนี้คับคั่งไปด้วยพวกกะเหรี่ยงจากเมืองไทย นับดูแล้วก็ 20 คน สั่งอาหารมา 3 อย่างๆละ 4 ชุด มีต้มยำไก่ ปลาหมึกผัดพริกเผา ผัดผักรวมมิตร นอกจากนั้นกลุ่มของน้องยุ่งยังมีอาหารมาอีก 3-4 อย่าง รู้สึกว่าจะมีไก่ผัดพริก ไข่เจียว น่องไก่ทอดกับต้มข่าไก่ น้องนนท์เอามาอีก 3 อย่างมีไข่ต้ม ไข่เจียวกับปลากระป๋อง
น้องเอ็มบอกว่ามารู้จักร้านนี้ตอนจะกลับแล้ว เสียดายจัง ทุกคนพูดเป็นเสียงเดียวกันว่าอร่อย ถูกปากมาก เหมือนกับฝีมือคนไทยเลย และค่าอาหารวันนี้ 120 ดอล เอา 15 หาร ออกกันคนละ 8 ดอล กลุ่มน้องยุ่งกับอานนท์ไม่ต้องออกเพราะมีอาหารมาเอง
แยกย้ายกันหลังอาหาร กลุ่มเราจะไป Garden Park แต่ต้องรออาดุลย์ที่ไปละหมาดก่อน ตอนหลังต้องเปลี่ยนแผนเพราะไปกลับไม่ทัน เลยไปหอระฆังที่อยู่ในพิพิธภัณฑ์บริสเบนคนละที่กับพิพิธภัณฑ์ควีนสแลนด์ที่อยู่ใกล้ๆกับ Cultural Centre กะว่าจะขึ้นหอไปชมวิวที่นี่ ลิฟท์ที่ใช้เป็นของเก่าอายุ 80 ปีแต่ก็ต้องผิดหวัง เพราะพอไปถึงเขาเอาป้ายมาปิดว่า หอปิดจะให้ใช้บริการใหม่ตอน 10 นาฬิกาพรุ่งนี้ เลยไปถ่ายรูปกันที่หน้าอาคาร
น้องปูจัดรายการใหม่ พาไปขึ้นรถไฟเพื่อไป Mt. Coot-tha เพื่อไปดูหอไอเฟลจำลอง ซึ่งอยู่ที่ Park Road พากันลงรถที่สถานี Milton ที่ห่างแค่ไม่กี่สถานี พอไปถึง อะไรวะ แค่นี้เอง เป็นหอไอเฟลที่จำลองจริงๆ อยู่บนหลังคาร้านอาหารฝรั่งเศส ขนาดสูงประมาณ 10 เมตรมั้ง เราทุกคนผิดหวังกันมาก แต่ก็ขำกันนะ ชวนกันถ่ายรูปแก้เซ็งแล้วก็กลับ
ขากลับไปลงที่สถานี South Bank ไปหากินกาแฟบริเวณสวนสาธารณะ ที่นี่พบเด็กไทยขายของที่ร้าน Subway เขาทักเราก่อนนะ ดีใจมากที่พบคนไทยที่ต้อนรับคนไทยด้วยกัน ไม่เหมือนหลายที่ ที่ไม่อยากเจอคนไทยอย่างกลุ่มเรา
ช่วงนี้ที่ South Bank เขามีงานวันวิสาขบูชา ช่วงระหว่างวันที่ 2-3 พฤษภาคม พวกเราไปได้จังหวะพอดี จัดในโดมขนาดใหญ่ มีการห้อยเต็งลั้ง (โคมไฟจีน) ตลอดแนว รอบๆโดม ภายในมีพระพุทธรูปขนาดใหญ่ 3 องค์ ขวามือของพระพุทธรูปเป็นรูปปั้นกวนอู ซ้ายมือเป็นรูปปั้น…..เอ..ไม่รู้ว่าเป็นใครนะ มีรูปปั้นพระพุทธเจ้าตอนแรกประสูติเอานิ้วชี้ขึ้นฟ้า อีก 3 องค์ มีดอกไม้ เทียนที่อยู่ในแก้วเล็กๆจุดบูชามากมาย รู้สึกว่าเขาจะให้ซื้อไปไหว้บูชา
ด้านนอกมีรูปปั้นพระสังกัจจายน์ เจ้าแม่กวนอิมและพระถังซำจั๋ง มีแท่นกราบไหว้บูชาทั้งสามที่
ตอนที่เราไปถ่ายรูป และถอดรองเท้าเพื่อกราบพระ พวกคนจีนที่จัดงานมองกันใหญ่คงงงที่ไม่เคยเห็นใครกราบพระแบบเรามั้ง ก็คนไทยนี่หว่า
ก่อนลงเรือชมสองฝั่งแม่น้ำยามค่ำ น้องปูบอกว่านัดเพื่อนร่วมห้องชาวสวิสไว้แถวนี้ สักครู่ก็พบเธอและเรือมาพอดีเลยชวนกันลงเรือ
ไปยืนกันที่ด้านหน้าเรือถ่ายรูปกันไปเรื่อยๆ แต่คิดว่าไม่น่าจะได้ดีเพราะมันมืด แฟลชไปไม่ถึง เราตั้งกล้องที่การถ่ายภาพตอนกลางคืนปิดแฟลช กลั้นใจกดชัตเตอร์ก็แล้ว มันก็ไม่ชัด เลยต้องเลยตามเลยได้แค่ไหนแค่นั้น
ขากลับน้องปู น้องเอ็ม น้องนา และเพื่อนชาวสวิสกลับกันก่อน เราสามคนขึ้นเรือที่ North Quay (ตัวหลังอ่านเหมือนคำว่า Key แปลว่าท่าเรือ) เดินเข้าไปใน Queen Street Mall ที่นี่ยังคงสว่างไปด้วยแสงสียามค่ำ เข้าไปในห้าง Myer ไปหาอะไรกินกันที่ศูนย์อาหาร ที่นี่เราได้ บะหมี่ญี่ปุ่น Chicken Ramen ราคา 6.20 ดอล อยากบอกว่าไก่เนื้อนุ่มมาก ถ้าได้เครื่องปรุงแบบไทยๆจะอร่อยกว่านี้เยอะ
ขากลับบริเวณลานลูกบอลยักษ์ มีการเปิดเพลงสอนเต้นรำกัน คนไปเต้นกันเยอะพอสมควร สักครู่พอสอนจบ ดีเจ ก็เปิดเพลงสไตล์บราซิล มีคนจับคู่ออกไปเต้นรำกัน 6-7 คู่ เราถ่ายรูปกับดีเจ แล้วลองถ่ายคลิปวิดิโอบ้าง
ระหว่างทางที่กลับบนรถสาย 140 พบคุณแม่ลูก 2 ชาวไทย เธอพาลูกมาเรียนที่นี่ช่วงปิดเทอม เธอเคยเรียนปริญญาโทที่นี่ สามีสอนที่เทคโนพระนครเหนือ ลูกคนโตเรียนที่ราชวินิต คนเล็กอยู่ป.1 โครงการ 2 ภาษาที่ราชวินิตเช่นเดียวกัน คนเล็กมาเรียนที่ Calamvale ค่าใช้จ่ายเฉพาะค่าเรียนก็สัปดาห์ละ 250 ดอล คนโตไม่รู้ เธอมาเช่าบ้านที่นี่ เธอบอกว่ามาเองค่าใช้จ่ายจะถูกกว่ามาทางเอเจนซี่เยอะ สรุปว่ามาเรียน 2 เดือน ค่าใช้จ่ายเฉพาะค่าเล่าเรียนแค่ 2,000 ดอล ประมาณ 60,000 บาท อยู่บ้านเช่า ทำอาหารกินกันเอง ก็คงหมดไม่เท่าไหร่นะ เด็กไทยที่มาเรียนที่ EF กัน หมดคนละ 122,000 บาท แค่เดือนเดียวเอง
คนก็แก่ เดินก็ไกล เป้ก็หนัก กว่าจะถึง Homestay บ่าระบมไปหมด ไปถึงทำได้แค่หารูปเข้าโฟลเดอร์ของอาดุลย์ อานนท์ น้องไหว และไร้ท์แผ่นให้น้องไหวกับก๊อปไฟล์ให้อาดุลย์ ทำได้แค่นั้นเองง่วงจริงๆ ก็ห้าทุ่มครึ่งแล้วนะ

--------------------------------------------------------------------

 





ไม่มีความคิดเห็น: