วันอังคารที่ 13 พฤศจิกายน พ.ศ. 2561

Flying to Brisbane 24


Going to Brisbane.
29 เม..2551
          โทรศัพท์มือถือที่อยู่ใต้หมอนส่งเสียงตามเวลาที่ตั้งไว้คือ 5:50 . งัวเงียตื่นขึ้นมา กดปุ่มเปิดสวิทช์กาน้ำร้อน แล้วไปจัดการภารกิจ พอออกมาเท่านั้นแหละ โดนโรบินบ่น ว่าเรากดปุ่มกาน้ำร้อน ทำไมไม่สำรวจดูก่อนว่ามีน้ำหรือเปล่า เธอบอกว่าเธอโมโหมากนะ
          เรางงเลย เมื่อคืนก็โดนบ่นเรื่องกินนมในขวดจนหมด กินแค่แก้วเดียวหมดนี่นะ เธอบอกว่าเป็นนมของไมเคิ่ลสำหรับอาหารเช้าที่ไมเคิลกินกับซีเรียล ก็ไม่รู้นี่หว่า ไหนเคยบอกว่าของในตู้เย็นกินได้หมดไง หรือว่าเป็นเพราะว่าเราจะอยู่อีกไม่กี่วันเลยไม่มีความเกรงใจกัน ของอย่างนี้พูดกันดีๆก็ได้นี่นา เซ็งจัง
          ออกจากบ้านตอน 6:40 พร้อมกับขนมปังทาแยม 2 ชิ้น วันนี้อากาศหนาวมาก เพิ่งรู้ความจริงวันนี้เองว่าหนาวจนเข้ากระดูกน่ะเป็นอย่างไร มันปวดกระดูกมากนะ เอามือล้วง กระเป๋าก็ไม่ได้เพราะต้องถือขนมปัง
          ยืนรอรถจน 6:50 . รถเกือบมาแล้ว พอเอามือล้วงกระเป๋าควานหาตั๋วรถเมล์ ก็ไม่เจอนะ รู้ตัวเลยว่าลืมอีกแล้ว เลยรีบเดินกลับไปเอา พอกลับมาอีกที ช้าไปแล้ว ต้องรอรถคันต่อไปอีกครึ่งชั่วโมงกว่าจะมา
          กว่าจะเข้าห้องเรียนได้ก็ 8:50 ช้าไป 35 นาที แต่ก็ยังทันเรียน เพราะช่วงนี้เป็นการสาธิตการสอน Task Based Learning (T.B.L.)
          พอเวลา 10:05 . Joleene ก็เริ่มสอนเรื่อง Feedback Writing เป็นเทคนิคการตรวจงาน ตรวจสมุด ในลักษณะต่างๆ เพิ่งรู้เดี๋ยวนี้เองว่า การตรวจงานก็ต้องเรียนรู้ ไม่ใช่ว่านึกจะตรวจงานอย่างใดก็ได้
          อย่างเช่นการวงกลมด้วยปากกาแดง วงกลมเพื่อให้รู้ว่ายังเขียนตกอีก 1 คำ หรือคำที่วงนั้นเขียนผิด ถ้าลืมเติม s ก็วงกลมแล้วเขียนตัว s กำกับไว้ด้านหลัง
          หรือใช้เครื่องหมาย ? เพื่อบอกให้รู้ว่าเราไม่เข้าใจสิ่งที่เด็กเขียน ใช้รูปหน้าคนยิ้มหมายถึงการชมเชย
          นอกจากนั้นการตรวจงาน ไม่ควรใช้ปากกาแดงเพียงสีเดียว ให้ใช้สีอื่นๆด้วย แต่ละสีก็จะให้ความหมายที่แตกต่างกันไป งงไหม และสัญลักษณ์ต่างๆที่ใช้ในการตรวจ เราต้องบอกเด็กไว้ล่วงหน้า เพื่อให้เขาเข้าใจสิ่งที่เราจะสื่อไปหาเขา
          วันนี้เลิกเรียนเร็วมาก แค่ 11:00 .เอง น้องไหวต้องไปสังเกตการสอน อานนท์ยังไม่มาเพราะต้องไปตรวจตาที่โรงพยาบาล อาดุลย์เลยบอกให้เราไปหาของทานกับคนอื่นเพราะเหลือกัน 2 คน ปลากระป๋องที่เราเอาไปด้วยเลยยังไม่ได้กิน เลยเดินตามสาวๆไปร้าน Jackpot ซึ่งเป็นร้านอาหารของคนจีน สั่งอาหารตามรูปที่เขามีให้ดู เป็นหมายเลข 13 มันเหมือนข้าวราดหมูผัดผักใส่แป้งมัน ราคา 6 ดอล เขาให้ใบเสร็จรับเงินพร้อมกับกระบอกพลาสติกที่มีลักษณะคล้ายโทรศัพท์มือถือ มีหมายเลข 12 ติดไว้ด้วย เราก็ถือไปนั่งกับน้องอัญและน้องไรหว่าจำไม่ได้ สักพักอานนท์กับสมพรก็ตามเข้ามา
          เสียงปี๊บ ปี๊บ ปี๊บ ดังขึ้นที่กระบอกของน้องอัญ หมายความว่าอาหารที่น้องอัญสั่งได้แล้ว ให้ไปรับได้ที่เคาน์เตอร์ อ้อ ….. กระบอกที่ว่านี้สำหรับอย่างนี้เอง เรามองดูของเรา เห็นมีคำว่า Compass ตัวหนึ่ง และ Guest Pass อีกตัวหนึ่ง และด้านล่างมีคำว่า JTECH ด้านบนมีเลข 12 ติดอยู่ คิดดูก็เข้าท่านะ ไม่ต้องถามว่าของใคร โต๊ะไหน เคาน์เตอร์ด้านหน้าคงกดปุ่มสั่งอาหารพร้อมหมายเลขของคนสั่งไปยังห้องครัว พอห้องครัวทำเสร็จก็กดปุ่มเรียกให้ไปรับของ ก็สะดวกดี แต่ไม่รู้ว่าต้องใช้กี่เครื่อง เป็นเงินเท่าไหร่
          อาหารวันนี้รสชาติจืดๆ ใส่ซีอิ๊วก็แล้ว มันยังไงไม่รู้ เลี่ยนๆด้วย ทานไม่หมดนะ แต่หมูนิ่มมาก ถ้าเติมน้ำส้ม น้ำตาล น้ำปลาอีกหน่อยคงอร่อยกว่านี้
          กินเสร็จแวะไปโทรศัพท์หาตึ๋ง ขอความช่วยเหลือเรื่องไปรับเปี๊ยกกับลูกให้มารับเราที่สนามบิน แล้วก็โทรไปบอกเปี๊ยก สักครู่อาดุลย์ก็มาโทรศัพท์บ้าง แล้วชวนกันไปที่ม้านั่งด้านข้างโรงเรียนเพื่อปรึกษางานกลุ่มที่จะต้องทำเป็น Power Point ส่งในวันพฤหัสบดี
          ไปถึงพบกลุ่มของตูน แอน ติ๊ก เอ็ม นั่งอยู่ก่อน เลยไปนั่งม้านั่งที่อยู่ใกล้กันเพื่อรอปูกับอิ๋วที่ไปทานข้าวกลางวัน
          ปรึกษางานกันเสร็จแต่ยังไม่ได้ทำอะไรเพราะวันนี้ไม่ได้เอา Notebook ไป ข้อมูลของเราก็อยู่ในคอมพ์ เลยต้องสรุปงานกันคร่าวๆก่อน พรุ่งนี้หลังเรียนค่อยนัดทำงานกันอีกที
          ยิ่งใกล้วันเดินทางกลับเท่าไหร่ แต่ละคนก็ห่วงแต่เรื่องของฝาก วันนี้เลยไปเป็นเพื่อนอาดุลย์ในการซื้อของ ไปร้านเดิม Duty Free เราเข้าไปดูสักครู่ก็ออกมารอที่ม้านั่งหน้าร้าน
          อาดุลย์ได้ของมาพอควร ทั้งน้ำหอมและครีมรกแกะ แล้วพากันเดินดูของต่อที่ร้านอื่นๆอีก เราตัดสินใจอยู่นานนะว่าจะซื้ออะไรอีกบ้าง แต่สุดท้ายก็ตัดใจเพราะซื้อมาเยอะแล้ว และอีกอย่างหนึ่งก็กลัวว่าน้ำหนักจะเกิน รู้สึกว่าเขาจะให้ไม่เกิน 25 กิโลต่อคนนะ
          เดินกลับไปขึ้นรถ ช่วงนี้ก็ต้องใส่เสื้อกันหนาวเพราะอากาศเริ่มเย็น พอไปถึง Browns Plains ยังไม่ถึง 6 โมงเลยก็มืดแล้ว และอากาศก็เริ่มเย็นลงอีก
          ตอนเดินเข้าบ้านรู้สึกหนาวที่หน้า คอ และหัวถึงแม้ว่าจะใส่หมวกก็ตาม พรุ่งนี้คงได้ใช้ผ้าพันคอของเจ๊แป๋วแน่ คงไม่ได้เอามาเก้อแน่นอน
         
-------------------------------------------------------------------------

ไม่มีความคิดเห็น: