วันอังคารที่ 13 พฤศจิกายน พ.ศ. 2561

Flying to Brisbane 19


Going to Brisbane.
24 เม..2551
          เมื่อคืนตอนกำลังทำการบ้านลืมเล่าให้ฟังว่า โรบินเอาแฟ้มโน้ตสากลของเธอมาให้ดู แล้วถามเราว่ารู้จักเพลงพวกนี้ไหม บางเพลงเรารู้ บางเพลงก็ไม่รู้ เธอบอกว่าเราสามารถลอกเอาไปสอนเด็กได้เลยนะ แต่เราไม่เอา บอกเธอว่าเราไม่ได้สอนดนตรี และบทเพลงในชั่วโมงเรียนก็มีเรียบร้อยแล้ว
          วันนี้ Joleene และแอนนัดพวกเราตอน 8:10 . ที่บนสะพานลอย Cultural Centre เพื่อจะพากันไปดูงานที่โรงเรียนที่มีชื่อของที่นี่ เลยตั้งนาฬิกาปลุกไว้ที่ 5:30 . ดังนั้นพอนาฬิกา(ที่จริงเป็นโทรศัพท์มือถือ) ส่งเสียงปลุก เราต้องรีบลุกขึ้นเพราะกลัวไปไม่ทัน
          อาบน้ำ สระผม แต่งตัว ออกมาเพิ่ง 6:20 เอง เลยมีเวลากินกาแฟ ขนมปังทาแยม 2 แผ่น ไปถึงป้ายรถเมล์เพิ่ง 6:40 เอง กว่ารถจะมาก็ 6:55 . เลยมีเวลาพิจารณาท้องฟ้าแล้วถ่ายรูปท้องฟ้าเล่นๆบ้าง
          ตอนที่นั่งรถเข้าเมืองเห็นมีพ่อลูกคู่หนึ่งคิดว่าน่าจะเป็นแขก ขึ้นรถมาลูกสาวแต่งชุดนักเรียน เรากำลังอ่านชี้ทภาษาอังกฤษ พอเห็นเรารีบเก็บชี้ทแล้วทำท่าลุกเพื่อจะให้เด็กนั่ง แต่คนเป็นพ่อบอกว่าเดี๋ยวก็จะลงแล้ว ไม่ต้องหรอก ขอบคุณมาก เราก็นั่งต่อ สิ่งที่เราสงสัยคือ ทำไมไม่มีคนลุกให้เด็กนั่งเลย หรือสังคมเขาเป็นแบบนี้
          ไปถึง Cultural Centre Station 8:08 . มองขึ้นไปบนสะพานลอยเห็นพรรคพวกมากันแล้ว อาดุลย์เห็นเราก็กวักมือเรียกบอกให้เรามาเร็วๆ ขึ้นไปพบ Joleene เธอเลยโล่งอกเพราะจะได้ไม่ต้องรอเรานาน
          รถสาย 184 มาถึงพอดี บนรถมีคนประมาณ 6 คนเลยมีที่พอสำหรับพวกเรา 30 ชีวิต วันนี้ขาด 2 คนคือนางลักษณ์ที่เท้าแพลง และศิวพร
          นั่งรถไป 15 นาที แล้วลงเดินอีก ช่วงนี้เรากับอาดุลย์ก็ถ่ายรูปบ้านเมืองไปเป็นระยะๆ พอไปถึงหน้าโรงเรียน แอนบอกให้รอก่อนแล้วเธอก็เข้าไปในโรงเรียนเพื่อประสานงานกับทางโรงเรียน ช่วงนี้เลยเป็นโอกาสทองของเราที่จะถ่ายรูปไปเรื่อยๆ
          เราไปถึงก่อนเวลาประมาณ 15 นาที เพราะนัดเขาไว้ตอน 9:00 . พอได้เวลาแอนก็มาบอกให้พวกเราเข้าไปในบริเวณโรงเรียน เจ้าหน้าที่ยังไม่พร้อม แอนก็เล่าเรื่องของโรงเรียนนี้ให้ฟัง สรุปได้ว่าโรงเรียนนี้มีนักเรียน 450 คนโดยประมาณ สอนตั้งแต่ชั้นอนุบาลถึงเกรด 12 อาคารเรียนจะอยู่ทั้ง 2 ฝั่งถนน โดยจะแยกกันเป็นส่วนๆ ส่วนอนุบาล ส่วนประถม ส่วนมัธยมและส่วนมัธยมปลาย แต่ละส่วนจะแยกกันเป็นเอกเทศเหมือนเป็นคนละโรงเรียนกัน เพราะแต่ละส่วนจะมีห้องสมุดของตน ห้องคอมพ์ ห้องดนตรีและห้องอื่นๆที่เป็นของส่วนของตน
          พอครูที่เป็นเจ้าหน้าที่ออกมาต้อนรับ ก็ให้เราไปรับป้ายชื่อและเอกสารคนละแฟ้ม หนักมาก เขาก็อธิบายไปเราก็ฟังมั่ง ไม่ได้ฟังมั่งเพราะมัวแต่ถ่ายรูป สรุปเอาเลยนะ
1.      นักเรียนทุกคนจะมีเป้ใส่หนังสือที่โรงเรียนทำแจก ก่อนเข้าเรียนจะเอาเป้เก็บใน  ล้อกเก้อร์ที่อยู่หน้าห้อง
2.      ส่วนชั้นอนุบาล มีส่วนที่เป็นบ่อทรายและมีอุปกรณ์สำหรับเล่นทรายใส่ไว้ในกรงรถเข็น สำหรับให้เด็กได้เล่น
3.      ส่วนที่เป็นสนามหญ้า เขาใช้หญ้าเทียม
4.      รอบๆต้นไม้ทำที่นั่งปูนล้อมรอบ บางส่วนทำเป็นรูปตัวยู
5.      เครื่องเล่นสนาม จะมีผ้าใบขึงกันแดด ส่วนพื้นก็จะเป็นพื้นดินที่โรยด้วยทรายหรือเศษไม้ที่ทำให้พื้นนุ่ม
6.      มีห้องคอมพ์ ห้องสมุด ห้องดนตรี ห้องศิลปะ
7.      เด็กนักเรียนมีห้องละประมาณ 20 คน
8.     ที่หน้าห้องนอกจากจะมีภาษาอังกฤษแล้ว ก็มีภาษาญี่ปุ่นด้วย รู้สึกว่าจะมีการสอนภาษาญี่ปุ่นให้เด็กด้วย
สักครู่ครูเจ้าหน้าที่ก็พาผ่านไปสนามส่วนกลาง  คนงานกำลังจัดสถานที่สำหรับงาน
ANZAC DAY ในวันพรุ่งนี้ ที่บริเวณใกล้กันมีคลองเล็กๆ ทอดยาวตลอดแนว บางช่วงก็มีสะพานไม้สำหรับให้เด็กเดินข้าม ที่ริมคลองมีป่าครอบคลุมทั่วไป บนต้นไม้ใหญ่เป็นที่หลับนอนของค้างคาวฝูงใหญ่ต่างก็ห้อยหัวกันอย่างไม่กลัวเลือดตกหัว
          ไปถึงสนามขนาดใหญ่สำหรับเล่นรักบี้ และที่ใกล้ๆกันก็มีสระว่ายน้ำ ที่บริเวณนี้น่าจะเป็นของเด็กโตมากกว่า
          อาคารขนาดใหญ่มีอยู่ทั่วไป เด็กแต่งตัวเป็นระเบียบ โรงเรียนนี้เป็นโรงเรียนชาย จึงไม่มีเด็กผู้หญิงให้เปรียบเทียบ
          ช่วงนี้ได้แต่เดินผ่าน และถ่ายรูปบ้างประปราย แล้วครูเจ้าหน้าที่ก็พาเราเข้าห้องประชุม
          งานนี้เด็กเป็นพระเอกนะ จะมีเด็กที่เป็นหัวหน้านักเรียนน่าจะอยู่ประมาณเกรด 5-6 เป็นผู้ดำเนินการจัดเด็กเข้าห้อง สั่งให้ทุกคนยืนร้องเพลงชาติ ร้องเพลงทางศาสนาคริสต์ โดยมีเนื้อร้องขึ้นบนจอด้านหลังโพเดียม แล้วสั่งให้นั่งลง จากนั้นพระก็จะมาเทศน์เนื้อหาก็จะเกี่ยวกับเพลงที่ร้อง
          ครูเจ้าหน้าที่ก็จะมาทำหน้าที่พิธีกรแจกเกียรติบัตรให้เด็ก จากนั้นแนะนำพวกเราให้เด็กๆรู้จักว่าเป็นใคร มาจากไหน สิ่งที่ทำให้เราภูมิใจมากที่สุดคือคำว่า รัฐบาลไทยส่งมา แล้วเชิญพวกเราขึ้นบนเวที
          น้องพิมพ์เป็นพิธีกรกล่าวนำเรื่องการแสดงของพวกเรา จากนั้นพวกเราก็รำวงกัน 4 คู่ โดยเรารำกับน้องเอ็ม เพื่อนๆที่ไม่ได้รำก็ร้องเพลงปรบมือให้เข้าจังหวะกัน
          สุดท้ายน้องอูมอัจฉริยะประจำกลุ่มก็ออกไปกล่าวขอบคุณและให้สมพรมอบของที่ระลึกให้ทางโรงเรียน
          เสร็จพิธีการออกไปทานของว่างกัน ที่นี่เรียกว่าเป็น Morning Tea ครูทุกคนที่ว่างช่วงนี้จะมากินของว่างดื่มชาและคุยกันแล้วค่อยขึ้นสอน พวกเราก็กินกันไป คุยกับครูท่านอื่นเจ้าของโรงเรียนกันไป ฝอยกันไป โม้กันไปตามเรื่อง เราก็ทำหน้าที่ถ่ายรูปให้น้องๆตามเดิม
          จากจุดนี้ เดินไปดูชั้นเด็กเล็กสักครู่ แล้วครูเจ้าหน้าที่ก็บอกว่าเหลือเวลาอีก 45 นาที ใครอยากเข้าห้องไหน ไปดูอะไรก็ได้ตามสบาย เพราะครูที่นี่รู้แล้วว่าพวกเรามา  เรา อาดุลย์กับน้องไหวเลยชวนกันกลับไปหาอะไรทานกัน เพราะเดี๋ยวต้องไป Art Gallery กันอีก ก็บอกแอนก่อนว่าจะไป แอนก็บอกวิธีเดินทางกลับให้เรา
          ขณะที่นั่งรถกลับ มีช่วงหนึ่งเห็นเด็กผู้ชายเล็กๆ 2 คนขึ้นรถมา โดยมีผู้เป็นแม่ตามขึ้นมาทีหลัง เราเลยรีบลุกเดินไปหาเด็กคนหนึ่งแล้วพาเด็กมานั่งที่เบาะหลัง คนเป็นแม่ก็พาเด็กอีกคนหนึ่งมา เธอขอบคุณเรามากเลย  สังคมที่นี่ใจแคบเสมอ เพราะคนอื่นๆไม่มีใครช่วยเธอเลย
          น้องไหวก็ชวนคนเป็นแม่คุย เลยทราบว่า เด็ก 2 คนนี้เป็นฝาแฝด แล้วเราก็ขอถ่ายรูปกับเด็ก 2 คนนี้
          มื้อกลางวันตัดสินใจไปร้านมาเลย์ สั่งแกงมัสมั่นกับข้าวสวยคนละ 1 ชุดตามด้วยแกงจืดลูกชิ้นปลา 1 ชาม พอเขาเอามาเสิร์ฟเท่านั้นแหละจึงรู้ว่าสั่งผิด เพราะแกงมัสมั่นเยอะมากที่จริงสั่งมาแค่ชุดเดียว แล้วสั่งข้าวเปล่าอีก 2 จานก็พอ แต่ไหนๆก็สั่งมาแล้วเลยกินกันไป
          แกงมัสมั่นเพิ่งทำมาใหม่ๆ ไก่กับแกงยังไม่เข้าน้ำเข้าเนื้อกัน แต่ก็อร่อยนะ ต่างจากบ้านเรานิดหนึ่งตรงที่ไม่มีถั่วลิสง ถ้าเคี่ยวอีกหน่อยให้ไก่เปื่อยกว่านี้ ก็ไม่ต่างจากบ้านเรา
อ้อไก่เขาหั่นเป็นชิ้น ไม่ใช่เป็นก้อนแบบของเรา
          ค่าอาหารวันนี้จ่ายคนละ 13 ดอล แพงไหม
          อาดุลย์กับน้องไหวพากันไปละหมาดที่มัสยิด เรานั่งรถไปพิพิธภัณฑ์คนเดียว ไปถึงเพื่อนๆนั่งรอกันเยอะแล้ว
          Joleene พาเราไปนั่งบริเวณบันไดริมน้ำหน้า Art Gallery อธิบายเรื่องการมาดูงาน ให้เรากำหนดกิจกรรมก่อนดู ขณะดู และหลังจากดู และให้เราเตรียมพูดเรื่องนี้คนละ 5 นาที
          ก่อนเข้าไปข้างใน มีป้ายห้ามเยอะมาก ที่น่าสงสัยคือ No flash photograph เราเข้าใจว่าถ่ายรูปได้แต่ห้ามใช้ แฟลช แต่พอถาม Joleene บอกว่าห้ามถ่ายรูป เรางงนะ
          พอเข้าไปก็ต้องฝากเป้ พอเจ้าหน้าที่เห็นกลุ่มเราเท่านั้นแหละ รีบ ว. ไปหาพรรคพวกให้เอาตู้มาใหม่ 1 ใบเพื่อรับฝากเป้ของพวกเราโดยเฉพาะ
          เราเริ่มจากลงบันไดเลื่อนไปชั้นล่าง มีเหมือนกับสระน้ำ มีทางเดินผ่านกลาง ในน้ำมีลูกบอลสีเงินเต็มไปหมด กลางสระน้ำบางจุดมีบอลอยู่ข้างบน ลูกบอลไหลไปเรื่อยๆ วนอยู่ในสระ อีกด้านหนึ่งลูกบอลเรียงกันเป็นเส้นตรง
          พี่เบิ้มถามว่าหมายถึงอะไร ทำไมบางลูกจึงอยู่บนพื้น บางลูกอยู่ในน้ำ เราเลยได้คิด พิจารณาอยู่สักครู่ก็บอกว่า เหมือนกับชีวิตคนที่เดินทางเพื่อเสาะแสวงหาไปอย่างไม่รู้จบ บางลูกที่อยู่บนบก ก็เหมือนกับคนที่หลุดพ้นแล้วกำลังมองคนอื่นๆที่ยังวนเวียนหาทางออกอยู่ ผมคิดแบบนี้นะ จากนั้นก็เดินไปอีกด้านหนึ่ง
          สักครู่พี่เบิ้มเดินตามมาบอกว่าอันเมื่อกี้นี้ที่เราตีความ ตรงกับที่เขาเขียนบรรยายไว้ แล้วอันนี้หมายถึงอะไร เธอชี้ไปที่เสาไม้ด้านบนเหมือนกังหัน เราบอกว่า ต้องเริ่มจากอันนั้น แล้วเราชี้ไปที่ปฏิมากรรมรูปหนึ่งที่ใช้เศษเหล็กจากอุปกรณ์ต่างๆมาเชื่อมต่อกันเป็นรูปทรงแปลกๆ แล้วบอกว่า อันนั้นหมายถึงโลกอุตสาหกรรมที่ต้องใช้เครื่องจักรเพื่อผลิตสิ่งต่างๆ พอหมดอายุก็กลายเป็นขยะที่ไร้ค่า แล้วก็มารูปนั่น ชี้ไปที่ปฏิมากรรมอีกรูปที่ใช้ดีบุกและสังกะสีมาเชื่อมเป็นรูปแปลกๆเช่นกัน แล้วพูดต่อ รูปนั้นหมายถึงขยะที่นับวันจะมากขึ้นๆจะสูงเป็นภูเขาสูงขึ้นเรื่อยๆ และมาถึงรูปนี้ รูปที่พี่เบิ้มถาม ถ้าสังเกตดูจะเห็นว่ากังหันมันสั้นผิดปกติ น่าจะหมายถึงธรรมชาติที่ถูกทำลายไปเรื่อยๆ และคนเริ่มหนีจากพลังงานธรรมชาติหันไปใช้พลังงานอย่างอื่น แต่อีกรูปหนึ่งผมตีความไม่ออกนะ พี่เบิ้มพยักหน้า ไม่รู้ว่างงกับคำพูดเราไหม
          เดินต่อไปอีกห้องเป็นการวาดรูปโดยใช้สีน้ำ เราไม่สามารถรับรู้ถึงอารมณ์ด้านนี้ได้ เลยเดินผ่านไป แล้วไปถึงภาพล้อเลียนต่างๆ ภาพล้อเลียนเหล่านี้บ่งบอกประวัติศาสตร์ของสังคมแต่ละแห่งของแต่ละยุคแต่ละสมัยได้เป็นอย่างดี เช่นรูปธงของชาวอะบอริจินเพื่อฉลองวันชาติของตน เพื่อเรียกร้องอิสรภาพ รูปเรแกนใส่เสื้อลายคาวบอยมีเสียง bang ซึ่งเป็นเสียงปืน แต่ว่ายิงหรือทำลายใครนะ  รูปเปรียบเทียบสังคมยุคเก่าชายหญิง กับสังคมยุคใหม่ชายชาย รูปการทิ้งระเบิด Nuke ที่แปซิฟิก เป็นต้น
          ต่อมาเป็นรูปวาดสีน้ำมัน ส่วนมากเป็นรูปเหมือนจริงทั้งผลไม้ และคน เราดูไม่ออกเช่นเดิม ถัดไปเป็นรูปหล่อทองแดง กับสัมฤทธิ์ เราชอบปฏิมากรรมด้านนี้นะ ชอบความอ่อนช้อยและแข็งแกร่งของกล้ามเนื้อ ความอบอุ่น ความเอื้ออาทรทางสายตาเป็นต้น แต่ก็มีเวลาดูได้ไม่นานเพราะหมดเวลา ต้องตาม Joleene ออกไปข้างนอก
          ตอนที่กำลังรอคนอื่นๆ ก็ไปดูหนังสือศิลปะ เห็นหนังสือรวมรูปของ Art Gallery ราคา 10 ดอล คิดว่าวันหลังจะซื้อไปสักเล่ม 2 เล่มไปฝากโกวาและเก็บไว้ดูเองบ้าง
          Joleene บอกให้กลุ่ม 1 กลับได้ เราเลยชวนอาดุลย์ลงไปริมน้ำ ที่นี่จะมีทางเดินทำด้วยไม้เลียบแม่น้ำไปตลอด ทางเดินนี้จะแบ่งเป็น 2 เลน สำหรับคนเดินและสำหรับคนขี่จักรยาน หาที่ถ่ายรูปกันสักครู่ก็ข้ามสะพานไป Queen Street Mall ไปร้านหนังสือบ้าง ร้านขายของที่ระลึกบ้าง ดูไปเรื่อยๆ พอเหนื่อยก็ชวนกันนั่งรถกลับ
          รถสาย 150 วันนี้มากันถี่มาก คันแรกไปไม่ถึงนาที คันที่ 2 และ 3 มาติดกันเลย เราเลยขึ้นคันหลัง นึกว่าจะไม่มีคน ที่ไหนได้ เกือบเต็มรถ ไปจนเกือบถึง Browns Plains คนขับรถบอกให้ทุกคนลงรถ ให้ไปขึ้นรถคันหน้าเพราะช่วงนี้เหลือคนแค่ 5 คนเอง และคันหน้าก็จอดรออยู่
          ถึง Browns Plains 6 โมงพอดี เลยชวนกันไปใน Grand Plaza สงสัยว่าวันนี้เป็นวันสุดสัปดาห์ ร้านค้ายังไม่ปิด คนก็เยอะ เลยชวนกันไปห้าง K-mart บ้างเพราะยังไม่เคยเข้าไป
          สิ่งหนึ่งที่ยังงงๆอยู่คือ ที่นี่จะมีห้างต่างๆรวมกัน 6-7 ห้าง แล้วแต่ว่าใครเป็นแฟนใคร ชอบห้างไหนก็เข้าห้างนั้น
          เห็นห้างเยอะๆแล้วทำให้อดคิดตามไม่ได้ว่า ที่นี่ไม่มีร้านขายของชำ อยากได้อะไร ไปห้างได้เลย และร้านข้าวสารก็ไม่มี ก็ต้องไปหาในห้างอีกนั่นแหละ ที่นี่ไม่มีการขายข้าวเป็นกระสอบๆ มีแต่ขายเป็นถุงๆละ 1 กิโลเอง
          แทบทุกห้างไม่มีบริการฝากกระเป๋าก่อนเข้าห้าง แบกเป้แบกกระเป๋าเข้าไปได้เลย แต่ตอนออกเขาจะขอตรวจกระเป๋า ตอนหลังๆนี่พอจะออกจากห้าง จะถามพนักงานเก็บเงินตลอดว่า “Will you check my bag?” เรียบร้อยทุกรายคือขอตรวจ ถ้าจะไม่ต้องตรวจก็ต้องฝากไว้กับพนักงานเก็บเงินนั่นเอง แต่ใครจะไว้ใจล่ะ
          ชวนอาดุลย์ไว้ว่า วันเสาร์หน้า วันที่เราจะขึ้นเครื่องกลับ ตอนกลางวันมาเที่ยวห้างแถบนี้ดีกว่าใกล้ดี ของใกล้บ้านเรายังไม่ได้เดินดูเลย ดูแต่ที่ไกลๆ จะได้มีอะไรๆไปเล่าให้คนที่บ้านฟังเยอะๆ
          มาม่าต้มจนน้ำแห้ง ใส่ปีกไก่ 4 ปีกกับถั่วฝักยาวต้ม 10 กว่าชิ้น อร่อยไหม เคยลองชิมไหม ถ้าอยากรู้ทดลองบ้างนะ แล้วจะรู้ว่าชีวิตต่างแดนมันสนุกแค่ไหน

-----------------------------------------------------------------------


                           ดวงจันทร์ตอนเช้า 6:50 .                     

                                                              ปั๊มน้ำมัน 7-11


                     หน้าโรงเรียนที่ดีที่สุดใน Brisbane

                                  ภายในหอประชุม


                              ของเล่นและบ่อทราย

                                                              เครื่องเล่นสนาม


                             กับเด็กฝาแฝดชาวออสซี่ 

                                                       ก่อนเข้า Art Gallery



                มัสมั่นแกงแก้วตา หอมยี่หร่ารสร้อนแรง          


ทางเดินชายน้ำเลียบแม่น้ำ Brisbane


ไม่มีความคิดเห็น: