วันเสาร์ที่ 18 ตุลาคม พ.ศ. 2551

การจัดค่ายภาษาอังกฤษ (10)

Station 5 : Arranging the Letters.

เกมเรียงอักษร

วิทยากรประจำฐาน : ครูกฤษณา ฤกษ์วิสาข์
Miss Melanie Moratalla


กิจกรรม
1. แบ่งนักเรียนออกเป็น 4 กลุ่ม กลุ่มละ 5 คน
2. แต่ละกลุ่มจะมีซองคำศัพท์กลุ่มละ 10 ซองโดยเรียงลำดับไว้
3. ให้แต่ละกลุ่มนำอักษรในซองที่ 1 มาช่วยกันเรียงให้เป็นคำศัพท์
4. เสร็จแล้วให้ไปนำซองที่ 2 มาช่วยกันเรียง
5. เรียงจนครบ 10 ซอง
6. จดคำศัพท์ที่เรียงไว้ลงในเอกสารประจำตัว
7. ให้แต่ละกลุ่มอ่านคำศัพท์ที่เรียงลำดับไว้
8. กลุ่มใดเรียงได้ถูกต้องและเสร็จก่อน เป็นฝ่ายชนะ

อุปกรณ์
1. ซองน้ำตาลขนาดใส่กระดาษ A4 จำนวน 40 ซอง
2. คำศัพท์ที่แยกเป็นอักษรเดี่ยวใส่ในซองทั้ง 40 ซอง
3. ขนม 10 ถุง แจกรางวัลแก่ผู้ชนะกลุ่มละ 2 ถุง

คำศัพท์
calculator เครื่องคิดเลข
science วิทยาศาสตร์
energy พลังงาน
weather ภูมิอากาศ
festival เทศกาล

dolphin ปลาโลมา
vegetable ผัก
telephone โทรศัพท์
welcome ยินดีต้อนรับ
hospital โรงพยาบาล



มณเฑียร ฤกษ์วิสาข์


วันอาทิตย์ที่ 14 กันยายน พ.ศ. 2551

การจัดค่ายภาษาอังกฤษ (9)

การจัดค่ายภาษาอังกฤษ (9)

เอกสารครู

Station 4 : My dictionary
วิทยากรประจำฐาน : ครูจินตนา ทรงศรี

กิจกรรม
1. ให้เด็กร้องเพลง abc
2. ครูอธิบายการเรียงลำดับอักษรก่อน หลัง
3. ครูอธิบายการค้นหาคำศัพท์จาก Dictionary
4. แบ่งเด็กออกเป็น 4 กลุ่ม กลุ่มละ 5 คน ให้เด็กหาคำศัพท์จากคำที่กำหนดให้ แล้วเขียนลงในเอกสารส่วนตัว กลุ่มใดจดลงในเอกสารได้ครบและถูกต้องครบทุกคนก่อน เป็นฝ่ายชนะ

อุปกรณ์
1. Dictionary จำนวน 20 เล่ม
2. ขนม 10 ถุง แจกรางวัลแก่ผู้ชนะกลุ่มละ 2 ถุง

คำศัพท์
1. education ฝึกฝน สั่งสอน อบรม การศึกษา ความรู้ ศีกษาศาสตร์ ให้การศึกษา
2. appreciate หยั่งรู้ เล็งเห็น รู้คุณค่า รู้สำนึกบุญคุณ ชอบ ชมเชย
3. municipality เทศบาลนคร นครภิบาล บุราภิบาล
4. pawn จำนำ ขาย(เกียรติยศ) สอนเพิ่มè pawn shop โรงรับจำนำ
5. universe เอกภพ จักรราศี จักรวาล สอนเพิ่มèuniversity มหาวิทยาลัย
6. trunks กางเกงขาสั้น กางเกงอาบน้ำ สอนเพิ่มètrunk งวงช้าง ลำต้น
7. director ผู้อำนวยการ ผู้ชี้ ผู้นำ ผู้บัญชางาน ผู้กำกับการแสดงภาพยนตร์
8. environment แวดล้อม สิ่งแวดล้อม
9. qualify ทำให้สามารถแสดงคุณวุฒิ คุณวุฒิ ใบแสดงคุณวุฒิ คุณสมบัติ
10. horoscope ดวงโหราศาสตร์
11. representative ผู้แทน สมาชิกสภาผู้แทน
12. parliament รัฐสภา
13. special พิเศษ เป็นพิเศษ สอนเพิ่มèspecial class เรียนพิเศษ สอนพิเศษ
14. news เรื่องใหม่ ข่าว ความรู้ใหม่ สอนเพิ่มènew ใหม่
15. geography ภูมิศาสตร์ ภูมิประเทศ

เอกสารเด็ก

Station 4 : My dictionary
วิทยากรประจำฐาน : ครูจินตนา ทรงศรี

คำศัพท์
1. education = _______________________
2. appreciate =_______________________
3. municipality =_____________________
4. pawn = _______________________
5. universe = _______________________
6. trunks = _______________________
7. director =_________________________
8. environment =_____________________
9. qualify = _________________________
10. horoscope = _______________________
11. representative = ____________________
12. parliament = ______________________
13. special = _________________________
14. news = __________________________
15. geography = ______________________


มณเฑียร ฤกษ์วิสาข์

วันเสาร์ที่ 6 กันยายน พ.ศ. 2551

การจัดค่ายภาษาอังกฤษ (8)

การจัดค่ายภาษาอังกฤษ (8)

ในเอกสารของครู

Station 2 : Reading & writing
วิทยากรประจำฐาน : ครูกฤตยา ชุมประเสริฐ
กิจกรรม
1. แบ่งนักเรียนออกเป็น 2 กลุ่ม กลุ่มละ 10 คน
2. ให้คนที่ 1 วิ่งไปอ่านข้อความ 1 ประโยคแล้ววิ่งกลับมาบอกให้คนที่ 2 เขียน
3. คนที่ 2 เขียนเสร็จ ต้องวิ่งไปอ่านข้อความอีก 1 ประโยค แล้ววิ่งกลับมาบอกให้คนที่ 3 เขียน
4. ทำอย่างนี้ไปจนหมด
5. คนสุดท้ายของแต่ละกลุ่มออกมาอ่านเนื้อเรื่องทั้งหมดที่เขียนได้
6. กลุ่มที่เขียนได้ถูกต้องมากที่สุด เป็นฝ่ายชนะ

อุปกรณ์
1. เนื้อหาที่พิมพ์ใส่กระดาษ 2 แผ่น ซึ่งเป็นเรื่องเดียวกัน
2. กระดาษกาว 1 ม้วน
3. กระดาษโรเนียว 10 แผ่น
4. ขนม 10 ถุง แจกรางวัลแก่ผู้ชนะกลุ่มละ 2 ถุง


ข้อความที่เด็กอ่าน

Dear Pim,
I am English and my name is Jane. I am eleven years old. I am a schoolgirl and I live in London. Here is the picture of my family : my father, my mother, my brother, my sister and myself. My father is a taxi-driver. My mother is a housewife. My sister is a nurse.
Please tell me about your family in Thailand.
Love,
Jane

ในเอกสารของเด็ก - ไม่มี


มณเฑียร ฤกษ์วิสาข์


6 ก.ย.51

วันจันทร์ที่ 1 กันยายน พ.ศ. 2551

การจัดค่ายภาษาอังกฤษ (7)

การจัดค่ายภาษาอังกฤษ (7)

ปีต่อมา คือปี 2549 ยังคงสอน ป.3 เช่นเคย และก็ต้องจัดค่ายภาษาอังกฤษ ให้กับช่วงชั้นที่ 2 คือ ป.4-ป.6 จำนวน 100 คนอีกเช่นเดิม

ก่อนจัดค่ายในครั้งนี้ ได้นำแนวความคิดของ ศน.บุญช่วย จันทร์พรหมมา มาวางแผนการดำเนินงาน นั่นคือหลังจากกำหนดกิจกรรมต่างๆแล้ว ในเอกสารของครู ในแต่ละฐานจะกำหนดบทบาทของครู กิจกรรมที่ต้องปฏิบัติ และอุปกรณ์ต่างๆที่ต้องใช้ และในวันจริงก็จะเตรียมอุปกรณ์ต่างๆ ของแต่ละฐานใส่ซองไว้ให้เรียบร้อย พร้อมที่จะดำเนินการได้เลย ส่วนในเอกสารของเด็กก็จะระบุภาระงานที่จะต้องทำในแต่ละฐานไว้ด้วย

ในปีนั้นได้กำหนดฐานต่างๆไว้ดังนี้
1. ฐาน English from a Song.
2. ฐาน Reading & Writing
3. ฐาน Treasure Hunting (ตามล่าหาสมบัติ)
4. ฐาน My Dictionary
5. ฐาน Arranging Letters


ลองมาดูกันนะครับว่า ในแต่ละฐานมีรายละเอียดอย่างไรบ้าง
เริ่มจากฐาน English from a Song.

ในเอกสารของครู

Station 1 : Learn English from Songs
วิทยากรประจำฐาน : ครูนงลักษณ์ แสงเดือน
Miss Blessie Obing

เพลง Imagine
กิจกรรม
1. บอกเด็กให้ตั้งใจฟังเพลงและให้พยายามฟังให้ออกว่ามีคำใดบ้างที่ฟังออก
2. เปิดเพลงให้เด็กฟัง 1 เที่ยวแล้วให้เด็กเขียนคำที่ฟังออก
3. เปิดเพลงให้เด็กฟังอีก 1 เที่ยวแล้วให้เด็กเขียนคำที่ฟังออก
4. หาผู้ที่เขียนคำศัพท์ได้มากที่สุด และให้บอกว่ามีคำใดบ้าง และให้คนอื่นจดคำที่ตนไม่มี
5. ให้เด็กรวบรวมคำศัพท์ที่เด็กเขียนได้ในกลุ่ม 5 คน
6. สอบถามกลุ่มที่ได้คำศัพท์มากที่สุด และให้บอกว่ามีคำใดบ้าง
7. แจกเนื้อเพลงให้เด็กๆตรวจคำศัพท์
8. ครูอ่านเนื้อเพลงให้เด็กฟังแล้วให้เด็กอ่านตาม
9. เปิดเพลงอีก 1 เที่ยวแล้วให้เด็กร้องคลอตาม
10.ครู อธิบายความหมายของเนื้อเพลงและรูปประโยคที่น่าสนใจ
11. เปิดเพลงแล้วให้เด็กร้องคลอตาม

อุปกรณ์
1. เครื่องเล่นแผ่น CD 1 เครื่องพร้อมแผ่น CD เพลง
2. แผ่นเพลง 100 แผ่น

เนื้อหา
1. to live for = มีชีวิตอยู่เพื่อ
2. to die for = ตายเพื่อ
3. Living life in peace = มีชีวิตด้วยสันติภาพ ปราศจากการต่อสู้ ทำร้ายกัน
4. Imagine. No possession = ลองคิดดูว่า ถ้าโลกนี้ไม่มีความเป็นเจ้าของ ไม่มีความยึดมั่น ถือมั่น
5. greed = ตะกละ ความเห็นแก่ตัว
6. hunger = ความโลภ
7. a brotherhood of man = ความเป็นพี่น้องกัน
8. Sharing all the world = ทุกคนควรมีสิทธิในทุกสิ่งทุกอย่างในโลกนี้อย่างเท่าเทียมกัน
9. There is no = ไม่มี
10. dream + er = dreamer
11.It is easy. It isn’t hard.

************************************************************************

ในเอกสารของเด็ก

Station 1 : Learn English from Songs
วิทยากรประจำฐาน : ครูนงลักษณ์ แสงเดือน
Miss Blessie Obing
1. Words that I can remember :________________________________________
______________________________________________________________
______________________________________________________________
______________________________________________________________
______________________________________________________________
2. Words from my group : ___________________________________________
______________________________________________________________

______________________________________________________________
______________________________________________________________

**********************************************************

คราวหน้าจะได้พูดถึงฐานอื่นๆต่อไปครับ

หลังจากที่ท่านได้อ่านบทความนี้แล้ว ท่านมีความคิดเห็นอย่างไร อยากให้แสดงความคิดเห็นด้วย จะขอบพระคุณมากครับ


มณเฑียร ฤกษ์วิสาข์





วันพฤหัสบดีที่ 28 สิงหาคม พ.ศ. 2551

การจัดค่ายภาษาอังกฤษ (6)

ารจัดค่ายภาษาอังกฤษ (6)

ฐานส่องโลกดูดิน

เห็นชื่อฐานนี้แล้ว อย่านึกว่าเป็นรายการ National Geographic แต่เป็นฐานที่ตอบสนองความอยากรู้อยากเห็นของเด็ก และท้าทายการแก้ปัญหาของเด็ก

เริ่มจากครูแจกใบงาน ที่เริ่มต้นด้วยอักษรตัวใหญ่ๆ ว่า
Find the words for each group. And write down on the paper.
และข้างใต้ก็จะเป็นหมวดหมู่คำศัพท์ที่ต้องการให้เด็กหาว่ามีคำอะไรบ้าง โดยแยกเป็น Animals, Fruit, Sports และ Occupations


แต่สิ่งที่จะทำให้เด็กปวดหัว และโวยวายกันคือ ตัวอักษรคำศัพท์นั้นจะใช้อักษรขนาด 5 points เท่านั้น ซึ่งเล็กมาก เด็กจะต้องใช้สายตาเพ่งมาก กว่าจะอ่านได้แต่ละคำ

ครูแกล้งให้เด็กทำสัก 5 นาที จึงบอกเด็กๆว่า ครูลืมให้อุปกรณ์ช่วยอ่าน ว่าแล้วก็แจกแว่นขยายคนละอัน
คราวนี้เด็กๆจะยิ้มได้ แล้วเริ่มต้นหาคำศัพท์กันอย่างสนุก

กิจกรรมนี้ อาจดัดแปลงเป็นหาประโยคต่างๆโดยใช้อักษรขนาด 5 points เช่นเดิม แต่การเขียนประโยค ให้เขียนติดกันเป็นพืด ไม่มีการเว้นวรรค ให้เขียนติดกันสัก 5 ประโยค น่าจะทำให้เด็กสนุกขึ้น ลองนำไปใช้ดูนะ
ข้อคิดสำหรับฐานนี้คือ เมื่อจะ Print ให้ใช้เครื่องพิมพ์ เลเซ่อร์ เพราะอักษรจะคมกว่าเครื่องพิมพ์ อิงค์เจ็ท เมื่อได้ต้นฉบับมาแล้วให้นำไปเข้าเครื่องก๊อปปี้ปริ๊นท์ เพราะถ้านำไปถ่ายเอกสาร อักษรอาจจะเลือนจนอาจอ่านไม่ได้





มณเฑียร ฤกษ์วิสาข์

วันพุธที่ 27 สิงหาคม พ.ศ. 2551

การจัดค่ายภาษาอังกฤษ (5)

การจัดค่ายภาษาอังกฤษ (5)

ฐานอะไรเอ่ย

ปริศนาคำทาย เป็นสิ่งที่ท้าทายความสามารถ ความคิด และการแก้ปัญหาของเด็กๆ พวกเขาจะรู้สึกอยากลอง อยากค้นหาความจริง อยากเอาชนะอยากแสดงให้เห็นถึงความสามารถที่ตนเองมีอยู่

การสร้างปริศนาคำทาย ควรเป็นสิ่งที่อยู่ใกล้ตัวเด็ก ใช้คำศัพท์ง่ายๆ และโครงสร้างประโยคที่ไม่ซับซ้อน เปิดโอกาสให้เด็กได้คิดบ้าง แต่ก็ควรมีบ้างบางข้อที่พอเด็กอ่านจบ ก็ตอบได้เลย เพราะจะเป็นการสร้างกำลังใจให้เขา
ในหนังสือ English Is Fun. ของชั้นประถม 6 ก็จะมีคำทายที่เราสามารถเอามาใช้ได้เลย ลองพิจารณาดูนะ

Riddles
1. Read the riddles and write down the answers.
2. Give the reasons why.
***************************************************
1. I am small and white. You can find me in your classroom. You cannot see me on white things but you can use me to write on black or green. What am I?
2. I am white and wet. I come from cows and goats. You can find me in bottles, cans, bags or boxes. Children like to drink me. What am I?
3. I like to swim. I cannot live out of water. People like me but I do not like people because they eat me. What am I?
4. You can see me on the walls or on the tables. People like to look at me in the morning, afternoon and evening. I cannot talk to them but I can tell them the time. What am I?
5. You can use me to do many things. You can clean your house with me and put me in your glass or on your plants. You can find me in your bathroom and in your kitchen. What am I?
6. You can find me in the kitchens and food shops. You use me in the morning and in the evening. You can use me to eat rice and to put sugar in tea and coffee. What am I?
7. You can find me in your bathroom. I am small and white, pink, blue, yellow or green. You use me when you take a bath. What am I?
8. I have two wheels. People who do not have cars use me to go to work, to school or to the market. They cannot drive me but they can ride me. What am I?

Answer :
1. ________ 2. . ________ 3. . ________ 4. . ________
5. . ________ 6. . ________ 7. . ________ 8. . ________

ก่อนที่จะให้เด็กทำปริศนาคำทาย ครูอาจให้เด็กอ่านออกเสียงก่อน แล้วค่อยแบ่งกลุ่มให้เด็กแข่งขันกันระหว่างกลุ่ม

หลังจากที่เฉลยแต่ละข้อ ครูควรถามเหตุผลว่า ทำไมจึงตอบอย่างนั้นจะเป็นอย่างอื่นได้ไหม และมีประโยคใดบอกให้ทราบว่าจะต้องเป็นอย่างนั้น

ครูควรกระตุ้นให้เด็กใช้ความคิดตลอด บางครั้งอาจแก้ไขคำทายบ้างเล็กน้อย แล้วดูว่าคำตอบจะเปลี่ยนไปไหม เป็นต้น


มณเฑียร ฤกษ์วิสาข์




-----------------------------

วันอังคารที่ 26 สิงหาคม พ.ศ. 2551

การจัดค่ายภาษาอังกฤษ (4)

การจัดค่ายภาษาอังกฤษ (4)

ฐานตามล่าหาสมบัติ

ฐานนี้เป็นฐานที่เด็กๆชอบมากที่สุด เพราะเป็นฐานที่ให้เด็กได้เคลื่อนไหวอิสระ ท้าทายความสามารถ ทำให้เขารู้สึกว่าได้ผจญภัยกลายๆ โดยมีจุดมุ่งหมายให้เด็กๆได้อ่านคำสั่งและปฏิบัติตาม โดยภารกิจหลักก็คือการค้นหาสิ่งของนั่นเอง
ฐานนี้ครูจะต้องวางแผนให้เหมาะสมและรัดกุม คือจะต้องรู้ว่ามีเด็กเข้าฐานกี่คน และจะแบ่งเป็นกลุ่มย่อยกี่กลุ่ม จำนวนสมาชิกในกลุ่ม ถ้ามากไปก็ไม่สนุก น้อยไปก็ไม่คุ้มกับการจัดกิจกรรม เท่าที่จัดมาคิดว่าในกลุ่มย่อยควรมีสมาชิก 4-5 คน
ลองพิจารณาดูกิจกรรมฐานนี้ที่เคยจัดมานะ (ในเอกสารของครู)

Station 3 : Treasure Hunting
วิทยากรประจำฐาน : ครูปัทมา แย้มอรุณพัฒนา
กิจกรรม
1. แบ่งนักเรียนออกเป็น 4 กลุ่ม กลุ่มละ 5 คน
2. ครูอธิบายกิจกรรม
3. แจกซองกิจกรรมเพื่อปฏิบัติภารกิจ
4. กลุ่มใดหาสมบัติได้ครบก่อน เป็นฝ่ายชนะ

กลุ่ม 1 กลุ่ม 2 กลุ่ม 3 กลุ่ม 4
เรือนดนตรี หน้าห้องพลศึกษา หลังห้องคอมพิวเตอร์ ศาลพระภูมิ
หน้าห้องสมุด เรือนศิลปะ ข้างๆสหกรณ์ หลังอาคาร ป.6
หน้าเสาธง หน้าองค์พระ บนเวที ตู้เก็บเครื่องดนตรี
บ่อน้ำพุ หน้าน้ำตกจำลอง สวนสัตว์ หน้าห้องพยาบาล
หน้าห้องสมุดเคลื่อนที่ หลังป้อมยาม ใต้บันไดอาคารบัวชมพู หลังน้ำพุ

Group 1
1. I am a musical instrument. You can find me at the music house. What am I ?

2. Congratulation that you can find me. I am a flute.
And this is your next mission.
“I am a book. I am in front of the school library. What is my name ?”
Don’t forget to put this paper in the same place.

3. You are great. My name is Say Hello.
And this is what you have to find out.
“I am a fruit. I am hanging around the flag pole. What am I ?”
Don’t forget to put this paper in the same place.

4. How wonderful you are. Yes, I am a mango.
Next, you have to read below and find out.
“You can find me around the fountain. I am an animal. What am I ?”
Don’t forget to put this paper in the same place.

5. Oh! Very good. You are cute. I am a fish.
The last mission is below.
“Ha, ha, ha. I am hiding in front of the moving library. I am a name of a teacher.
What is the name ?”
Don’t forget to put this paper in the same place.

6. Please write down “Khru Pattama” and go to see her now. Your mission is over.
Don’t forget to put this paper in the same place.

ข้อความทั้งหมดนี้ เป็นของ Group 1 เท่านั้น โดยที่แต่ละข้อจะเป็นปริศนาสำหรับนำไปซ่อนตามสถานที่ต่างๆตามตารางข้างบน ถ้าเด็กหาเจอแล้วเขาจะต้องบันทึกลงในเอกสารประจำตัว ซึ่งจะมีลักษณะดังนี้

Station 3 : Treasure Hunter
วิทยากรประจำฐาน : ครูปัทมา แย้มอรุณพัฒนา
Group 1
1. I am a musical instrument. What am I ?
_____________________________________________
2. “I am a book. What is my name ?”
_____________________________________________
3. “I am a fruit. What am I ?”
_____________________________________________
4. “You can find me around the fountain. What am I ?”
_____________________________________________
5. “I am a name of a teacher. What is the name ?”
_____________________________________________


ครูจะต้องจัดทำในลักษณะนี้อีก 3 กลุ่มย่อยที่เหลือ
กิจกรรมนี้ออกแบบมาเพียงครั้งเดียว แต่ใช้ได้ทุกครั้งที่จัดค่ายภาษาอังกฤษ และก็ประสบผลสำเร็จทุกครั้ง คือเมื่อประเมินผลการจัดค่ายฯ ฐานนี้จะเป็นฐานยอดนิยมที่เด็กๆชอบกันมากเป็นพิเศษ



มณเฑียร ฤกษ์วิสาข์



วันอาทิตย์ที่ 24 สิงหาคม พ.ศ. 2551

การจัดค่ายภาษาอังกฤษ (3)

การจัดค่ายภาษาอังกฤษ (3)

ฐานแต่งเพลง

ฐานนี้มีจุดมุ่งหมายให้เด็กๆได้รู้หลักการง่ายๆในการแต่งเพลง และช่วยกันคิด ช่วยกันทำงานเพื่อให้บรรลุผลตามที่ได้รับมอบหมาย ครูไม่จำเป็นต้องคาดหวังผลงานที่จะออกมาว่าจะต้องดีพร้อม หรือถูกต้องไปหมดทุกอย่าง แต่ ขอให้เด็กๆมีความสุขในการทำงานร่วมกัน สนุกในการนำเสนอ ก็น่าจะบรรลุจุดมุ่งหมายแล้ว

ในเอกสารสำหรับเด็กกิจกรรมฐานนี้ได้เขียนไว้ดังนี้

“Writing a Song”

How to write a song.
1. Should be short.
2. Use an easy melody. May be written by yourself or use the famous melody.
3. Should not be slow. Should have a funny rhythm.
4. Use easy language.
5. The lyric should have a unity.
6. Remember : Everybody can write a song.

Examples :

What Color do You Like?
(ทำนอง : This Old Man)
A : What color do you like?
B : Oh! I like red, white, black, blue.
A : What color do you like?
B : Oh! I like red, white, black, blue.

Ice-Cream
(ทำนอง : นิ้งหน่อง)
Ice-cream, ice-cream, I like ice-cream.
You like ice-cream.
You and I like ice-cream.

May I Come in?
(ทำนอง : Are You Sleeping?)
May I come in? May I come in?
Yes, you may. Yes, you may.
May I come in? May I come in?
Yes, you may. Yes, you may.

ฐานนี้เริ่มจาก ครูเล่นกีต้าร์พร้อมกับร้องเพลงให้เด็กๆฟัง จากนั้นก็สนทนากับเด็กเรื่องเพลง เช่นเพลงที่เด็กชอบ เพลงที่กำลังดัง และเพลงภาษาอังกฤษที่เด็กๆรู้จัก แล้ววกเข้าหาการแต่งเพลง
ครูอ่านหลักการแต่งเพลงพร้อมทั้งอธิบายเป็นภาษาไทยให้เด็กฟัง แล้วยกตัวอย่างให้ฟัง
จากนั้นแบ่งเด็กเป็นกลุ่ม กลุ่มละ 5 คนให้แต่งเพลงภาษาอังกฤษ 1 เพลง แล้วเขียนเนื้อเพลงลงบนกระดาษชาร์ท

หลังจากนั้นทุกคนในแต่ละกลุ่มจะต้องออกมา เอาเนื้อเพลงออกมาโชว์ พร้อมช่วยกันร้องเพลงที่แต่งขึ้นให้ครูและเพื่อนๆฟัง

มณเฑียร ฤกษ์วิสาข์

การจัดค่ายภาษาอังกฤษ (2)

การจัดค่ายภาษาอังกฤษ (2)

ฐานแต่งตัวตุ๊กตา

ฐานนี้ได้แนวคิดมาจากเนื้อหาในหนังสือ On the Springboard. ในเรื่องของการบรรยายรูปร่างลักษณะและการแต่งกายของบุคคล ประกอบกับการที่เห็นเด็กผู้หญิงชอบวาดรูปตุ๊กตาผู้หญิง พร้อมกับการออกแบบชุดต่างๆเพื่อแต่งตัวให้กับตุ๊กตาที่วาด และเผอิญไปเห็นที่ร้านรถเข็นที่ขายขนมและของเล่นเด็กหน้าโรงเรียน มีตุ๊กตาและชุดสำเร็จรูปที่เป็นกระดาษเป็นแผ่นๆ ขายชุดละ 5 บาท แผงหนึ่งมี 12 ชุด เลยเหมามาทั้งแผง เพื่อให้เด็กได้เล่นกิจกรรมนี้

ในเอกสารสำหรับเด็กกิจกรรมฐานนี้ได้เขียนไว้ดังนี้

Doll Dressing

ให้นักเรียนแต่งตัวตุ๊กตา 2 ตัว แล้วช่วยกันเขียนบรรยายรูปร่าง ลักษณะ และการแต่งกายของตุ๊กตา (กิจกรรมนี้เป็นกิจกรรมกลุ่ม กลุ่มละ 5 คน)

This is Jenny. She is my friend. She is thin and tall. She has got long straight hair. She is wearing a pink blouse, blue jeans and red shoes.

This is Robert. He is my friend. He is fat and short. He has got short curly hair. He is wearing a yellow T-shirt, brown trousers, black socks and blue shoes. He has a cap on his head, too.

หลังจากนั้นตัวแทนของแต่ละกลุ่มจะต้องเอาตุ๊กตาออกมาโชว์ พร้อมทั้งพูดบรรยายรูปร่าง ลักษณะและการแต่งกายตามที่เขียนไว้

วันพฤหัสบดีที่ 21 สิงหาคม พ.ศ. 2551

การจัดค่ายภาษาอังกฤษ

การจัดค่ายภาษาอังกฤษ

หลังจากที่พวกเรากลับจากบริสเบน พวกเราต่างก็มีภาระที่จะต้องทำ ตามข้อตกลงที่ให้ไว้กับทางสถาบันภาษาอังกฤษ นั่นก็คือการขยายผลให้กับเพื่อนครูท่านอื่นๆอีก 1 ต่อ 30 น้องๆหลายคนคงดำเนินการเสร็จสิ้นไปแล้ว และคงประสบผลสำเร็จไปได้ด้วยดี
หลังจากนั้น หลายคนคงนึกสนุก อยากทำงานต่อ อยากพัฒนาเด็กๆให้มีความรู้ ความสามารถ และประสบการณ์มากขึ้น สิ่งหนึ่งที่ครูอังกฤษอย่างพวกเราอยากทำคือ English Camp หรือการจัดค่ายภาษาอังกฤษ

ปัญหาที่สำคัญที่สุดของพวกเราคือ การหากิจกรรมที่เหมาะสม ที่จะจัดให้เด็กๆ ได้ฝึกทักษะด้านต่างๆ แต่ละคนก็อยากทราบว่า ที่โรงเรียนอื่นๆนั้นจัด English Camp อย่างไร จะได้ยึดถือเป็นแนวปฎิบัติบ้าง และสำหรับคนที่ไม่เคยจัด และไม่เคยมีประสบการณ์ด้านนี้เลย จะยิ่งปวดหัวเข้าไปใหญ่ เพราะไม่ทราบว่าจะทำอย่างไร และจะเริ่มต้นอย่างไร

ผู้เขียนเองก็พยายามหาข้อมูลทาง Internet ว่า การจัดค่ายภาษาอังกฤษนั้น เขาดำเนินการอย่างไรบ้าง และมีรายละเอียดของกิจกรรมต่างๆอย่างไร แต่การค้นหาก็แทบจะเป็นศูนย์
แล้วความคิดหนึ่งก็แล่นเข้ามาในสมองว่า ทำไมเราไม่เริ่มเสนอแนว ความคิดของเราในการจัดค่ายบ้างล่ะ ถึงแม้มันจะไม่สมบูรณ์ หรืออาจไม่ดีพอ แต่มันก็น่าจะเป็นจุดเริ่มต้นที่ดีนะ อย่างน้อยที่สุด ก็ได้นำเสนอต่อน้องๆสมาชิกกลุ่มบริสเบนก่อน ส่วนใครจะนำไปต่อยอด หรือนำไปใช้ประโยชน์อย่างไรก็ได้ สุดท้ายขอให้ลงไปถึงเด็กๆก็แล้วกัน

ในตอนนี้ ผู้เขียนขอเสนอหลักในการจัดค่ายภาษาอังกฤษก่อน

หลักในการจัดค่ายภาษาอังกฤษในความคิดของผู้เขียนมีดังนี้

1. สนุก เด็กมีส่วนร่วมในทุกกิจกรรม ไม่เอาจริงเอาจังกับเนื้อหามากนัก เพราะต้องการให้เด็กมีทัศนคติที่ดีต่อภาษอังกฤษ
2. ศึกษาหลักสูตรว่า ในกลุ่มเป้าหมายนั้น เด็กจะต้องเรียนเรื่องอะไรบ้าง แล้วพยายามแปลงเนื้อหาให้เป็นกิจกรรมที่น่าสนใจ
3. เด็กๆจะต้องได้รับการพัฒนาทักษะทั้ง 4 ด้าน
4. จะต้องมีอย่างน้อยหนึ่งฐาน ให้เด็กได้เคลื่อนไหว
5. จะต้องมีกิจกรรมนันทนาการแทรกเป็นระยะๆ

ในปี 2548 ผู้เขียนสอนชั้น ป.3 และต้องจัดค่ายภาษาอังกฤษให้แก่เด็กช่วงชั้นที่ 2 (ป.4-6) จำนวน 100 คน ผู้เขียนได้กำหนดกิจกรรมตามฐานต่างๆ ดังนี้

ฐานที่ 1 แต่งตัวตุ๊กตา
ฐานที่ 2 แต่งเพลง
ฐานที่ 3 ตามล่าหาสมบัติ
ฐานที่ 4 อะไรเอ่ย
ฐานที่ 5 ส่องโลกดูดิน

สำหรับรายละเอียดของกิจกรรมแต่ละฐาน เอาไว้คราวหน้าจะอธิบายอย่างละเอียดเลย


มณเฑียร ฤกษ์วิสาข์

วันอังคารที่ 1 กรกฎาคม พ.ศ. 2551

หมอดูลายมือ


เอาไว้หลอกเด็กๆให้จำหลักไวยากรณ์พื้นฐาน


โดย มณเฑียร ฤกษ์วิสาข์
------------------------------------------------------------

วันอาทิตย์ที่ 22 มิถุนายน พ.ศ. 2551

สิงห์เลเซอร์

สิงห์เลเซอร์


ตั้งแต่ลงมาสอนชั้น ป.3 มักจะมีเพื่อนๆ และคนที่คุ้นเคยถามกันมากว่า
“เป็นไงมั่ง เทียน สอน ป.3 เหนื่อยไหม หนักใจไหม”
หรือไม่ก็ “เทียน เด็กป.3 ดื้อไหม”
บางคนก็ถามว่า “ป.3 กับ ป.6 ชั้นไหนสอนยากกว่ากัน” ฯลฯ
ผมก็จะตอบตามความรู้สึกที่แท้จริงว่า “เพิ่งค้นพบความสุขที่แท้จริงเดี๋ยวนี้เองว่า มีความสุขที่สุดกับการสอนเด็กชั้น ป.3 เมื่อก่อนหลงคิดว่าสอน ป.6 มีความสุขแล้ว รู้ไหมว่าเด็กป.3 น่ะ เวลาคิดกิจกรรมต่างๆให้เขาเล่น เขาจะเล่นอย่างสนุกอย่างเต็มที่ ไม่มีการอายกันเลย ไม่เหมือนเด็ก ป.6 เพราะเขาเริ่มโตเป็นหนุ่มสาวกันแล้ว บางกิจกรรมก็ไม่ค่อยเต็มใจอยากเล่นด้วย”

การที่จะทำให้การเรียนการสอนสนุก ไม่น่าเบื่อหน่ายนั้น ผมมักจะคิดว่า ถ้าผมเป็นเด็กแล้วผมต้องการอะไร ผมชอบอะไร ผมอยากทำอะไร แล้วผมก็จะคิดกิจกรรมนั้นขึ้นมา และที่สำคัญที่สุด กิจกรรมนั้น เด็กต้องเป็นผู้ปฏิบัติ ไม่ใช่ครู
และในการสอนทุกๆครั้ง ผมต้องให้เด็กได้ปฏิบัติให้ครบทักษะทั้ง 4 ด้านคือ ฟัง พูด อ่าน และเขียน แต่ระยะหลังนี้จะมีข้อจำกัดเรื่องเวลา ทำให้การฝึกเด็กทำได้อย่างไม่สมบูรณ์นัก แต่ผมก็พยายามทำอย่างดีที่สุด
ในการสอนแต่ละหน่วยการเรียนนั้น ผมต้องพยายามคิดหากิจกรรมใหม่ๆมาให้เด็กร่วมสนุกเสมอ เพื่อกระตุ้นให้เขาสนใจเรียน สนุกกับบทเรียน ทำให้บทเรียนไม่น่าเบื่อ และมีความสุขกับการเรียน
อย่างที่เคยเล่าให้ท่านผู้อ่านฟังไว้เมื่อฉบับก่อนๆว่า ผมชอบไปเดินเล่นตามตลาดนัด หรือแผนกของเด็กเล่นตามห้างใหญ่ๆเพื่อหาแนวคิดในการทำสื่อการเรียนการสอน
แต่ยังมีสถานที่อีกแห่งหนึ่งที่ใกล้แค่ปลายจมูกที่คนอื่นๆมองข้าม แต่ให้แนวคิดในการผลิตสื่อการสอนและการจัดกิจกรรมอย่างหลากหลายที่นึกไม่ถึงทีเดียว สถานที่แห่งนั้นคือ ร้านขายขนมและของเด็กเล่นหน้าโรงเรียน
ร้านนี้ เป็นร้านรถเข็นเล็กๆ ที่ขายขนมขบเคี้ยว และของเด็กเล่น ทุกๆเย็นจะมาขายอยู่หน้าโรงเรียน และที่ร้านนี้เอง ผมมักจะเดินมาดูของเล่นใหม่ๆเสมอๆ
แล้วผมก็ได้ของเล่นไปหลอกเด็กจากร้านนี้ในวันหนึ่ง

**************************************
“นักเรียนเตรียม นักเรียนทำความเคารพ” เสียงหัวหน้าห้อง ป.3/6 ร้องบอกเพื่อนๆในห้องให้ทำความเคารพผม เมื่อผมก้าวเท้าเข้าห้อง
“สวัสดีครับ / ค่ะ คุณครู” เสียงเด็กกล่าวทักทายผมพร้อมๆกัน
“สวัสดีครับ” ผมกล่าวทักทายตามปกติ
วันนี้ผมขึ้นบทเรียนใหม่ เป็นเรื่องของสุขบัญญัติ 7 ประการ หรือ Seven Rules of Good Health. ผมเริ่มจากชูบัตรภาพแล้วพูดเป็นภาษาอังกฤษ brush my teeth แล้วให้เด็กๆพูดตามพร้อมกับทำท่าทางประกอบ
ผมสอนจนครบ 7 คำ แล้วผมก็วางบัตรภาพทั้ง 7 ลงบนร่องกระดานดำ แล้วเดินไปหลังห้อง
“วันนี้ผมขอท้าดวลปืน เหมือนที่คาวบอยดวลกัน ใครจะดวลกับผมบ้าง”
“ดวลยังไงครับ” เด็กคนหนึ่งถาม
“ขออาสาสมัครคนหนึ่งเป็นคนกรรมการ กรรมการจะต้องพูดคำศัพท์ตามรูป 1 คำ พอพูดจบ ผมกับผู้ท้าดวลจะต้องทำมือเป็นปืน แล้วยิงไปที่รูปที่กรรมการพูด ใครยิงได้ไวกว่า และถูกต้องเป็นฝ่ายชนะ เอ้า…..ใครจะเป็นกรรมการ และใครจะดวลกับผม”
เด็กๆยกมือกันพร้อมกับตะโกนว่า “ผมครับ ผมครับ”
ผมให้น้องมาร์คใหญ่เป็นกรรมการ และให้น้องเฟิร์สท์มาดวลกับผม
พอน้องเฟิร์สท์มาหลังห้องคู่กับผม ผมให้สัญญาณให้น้องมาร์คใหญ่ที่เป็นกรรมการพูดคำศัพท์ 1 คำ แล้วผมก็ล้วงมือลงในกระเป๋ากางเกง
“take a bath”
น้องมาร์คใหญ่พูดจบ น้องเฟิร์สท์ทำมือเป็นปืนเล็งไปที่บัตรภาพคนกำลังอาบน้ำ แล้วพูดว่า “เปรี้ยง เปรี้ยง”
ขณะเดียวกันผมล้วงไฟฉายแสงเลเซอร์ออกมา แล้วกดปุ่มยิงไปที่รูปคนกำลังอาบน้ำ จุดสีแดงปรากฏที่รูป แล้วผมพูดว่า “ผมชนะ นี่ไงเห็นไหมผมมีหลักฐาน คุณยิงไม่ถูก” ผมยิ้ม เด็กคนอื่นๆหัวเราะกันเกรียว
“คุณครูขี้โกง”
“ผมโกงยังไง”
“คุณครูมีแสงเลเซอร์ ผมไม่มี”
“ถ้าคุณมีแสงเลเซอร์ คุณคิดว่าคุณชนะผมเหรอ”
“ครับ”
“เอ้า…..ผมให้ยืม” ว่าแล้วผมก็ยื่นไฟฉายแสงเลเซอร์ให้น้องเฟิร์สท์ 1 อัน แล้วบอกให้น้องมาร์คใหญ่ที่เป็นกรรมการพูดคำศัพท์อีก 1 คำ
“wash my hands”
สิ้นเสียงน้องมาร์คใหญ่ ผมกับน้องเฟิร์สท์รีบกดปุ่มยิงไปที่รูปทันที
“ผมชนะอีกแล้ว” ผมพูดเพราะน้องเฟิร์สท์ยิงไม่ตรงรูป
“เอ้า……ตอนนี้ใครจะท้าดวลกับผมอีก” ผมถามเด็กอีกคราวนี้เด็กยกมือกันสลอนพร้อมกับตะโกนว่า “ผมครับ ผมครับ หนูค่ะ หนูค่ะ” เสียงแซดไปหมด
ผมให้เด็กเล่นกันอีก 5-6 คู่ ก็เขียนคำศัพท์บนกระดานแล้วให้เด็กอ่าน จากนั้นก็ให้เขียนลงสมุด
ผมใช้กิจกรรมนี้กับอีก 3 ห้องที่เหลือ เด็กๆสนุกกันมาก พร้อมๆกับไฟฉายแสงเลเซอร์หมดไปจากร้านขายขนมร้านนี้


**************************************

มณเฑียร ฤกษ์วิสาข์





-------------------------------------------------------------

วันศุกร์ที่ 20 มิถุนายน พ.ศ. 2551

สอนให้เด็กทะเลาะกัน

สอนให้เด็กทะเลาะกัน

ทันทีที่ผมก้าวเท้าเข้าห้อง ป.3/……. เสียงนักเรียนหัวหน้าห้องดังขึ้นทันที
“Stand up, please.” แล้วนักเรียนทุกคนก็พูดพร้อมกันเหมือนทุกครั้งที่ผมเข้าห้องสอนคือ
“Good morning, teacher. How are you?”
บทสนทนาทักทายกันบทนี้ผมพูดมาตั้งแต่ผมเริ่มเรียนภาษาอังกฤษแล้ว แต่วันนี้ผมนึกสนุกขึ้นมาจึงพูดกับเด็กว่า
“เดี๋ยวๆ วันนี้ผมจะพูดแบบในหนังเรื่อง ‘แฟนฉัน’ นะ”
ว่าแล้วผมก็จีบปากจีบคอพูด แล้วก็ทำหน้าตาเหมือนครูภาษาอังกฤษในหนังว่า
“Good morning, students. I’m fine, thank you. And you?”
เด็กทุกคนในห้องหัวเราะกันอย่างสนุกสนาน แล้วก็รีบตอบผมทันที
“I’m fine, too. Thank you.”
“Sit,” ผมเว้นช่วงนิดหนึ่งลอยหน้าลอยตา แล้วพูดต่อ “Down.”
เด็กๆพากันอมยิ้มเมื่อผมใช้ลูกเล่นแบบที่เคยเห็นในภาพยนตร์

*************************************************************
วันนี้สิ่งที่ผมเตรียมมาสอนเด็กคือ การบอกความรู้สึก ‘ไม่ชอบ’ ซึ่งในบทนี้จะเกี่ยวข้องกับอาหารและเครื่องดื่มต่างๆ
ผมเริ่มต้นทบทวนคำศัพท์โดยที่ผมชูบัตรคำชื่ออาหารและเครื่องดื่มให้เด็กอ่านทีละใบ โดยให้เด็กอ่านพร้อมกันทั้งห้อง พอหมดชุดก็ให้อ่านทีละกลุ่ม จากนั้นจึงชูบัตรให้อาสาสมัครอ่านทีละคน

ผมขึงเชือกฟางกับตะปูเล็กๆที่ตอกไว้ด้านข้างกระดานดำทั้งสองด้าน ให้เด็กอ่านบัตรคำอีกครั้ง แล้วนำบัตรคำไปห้อยติดกับเชือกโดยใช้ที่หนีบผ้าที่เตรียมมาหนีบไว้จนหมดทุกคำ

คราวนี้ผมหยิบไม้ชี้กระดานขึ้นมา บอกกับเด็กๆว่าขออาสาสมัครมาอ่านคำศัพท์ที่ห้อยไว้ คนละ 1 คำ จะเป็นคำใดก็ได้ อ่านคำไหนให้ชี้คำนั้น แล้วให้เพื่อนๆอ่านตาม
เด็กสิบกว่าคนกรูกันออกมาหยิบไม้ ชี้คำศัพท์ แล้วอ่านคำศัพท์กันอย่างสนุกสนาน บางคนก็ออกมาหลายเที่ยว เด็กที่ขี้อายผมก็จะเรียกออกมาให้อ่านด้วย โดยหวังแต่เพียงว่าให้เขาได้สนุกกับการเรียน ได้ฝึกอ่าน ได้ฝึกพูดเท่านั้น

สักพักผมเก็บบัตรคำมาถือไว้ บอกเด็กว่า ผมชอบพิซซ่า แล้วพูดเป็นภาษาอังกฤษว่า I like pizza. หลายๆเที่ยว ผมชูบัตรคำอีกครั้ง แล้วให้เด็กพูดว่าชอบอาหารหรือเครื่องดื่มตามบัตรคำที่ผมชู เด็กก็จะพูดพร้อมกัน
I like noodles. เมื่อผมชูบัตรคำ noodles
I like chicken. เมื่อผมชูบัตรคำ chicken
I like salad. เมื่อผมชูบัตรคำ salad
I like milk. เมื่อผมชูบัตรคำ milk
แต่พอผมจะสอนเรื่องการบอกความรู้สึกว่า ‘ไม่ชอบ’ หรือ I don’t like……… ความคิดหนึ่งก็วาบเข้ามาในสมองว่า “ทำไมเราไม่ให้เด็กทะเลาะกันล่ะ” คิดได้ดังนี้ ผมจึงเริ่มเทคนิคการสอนใหม่ ลองอ่านดูนะครับ

“คุณหนูครับ เมื่อก่อนผมมีเพื่อนรักกันมากอยู่คนหนึ่ง ไปไหนเราก็ไปกันตลอด เรียนหนังสือก็เรียนห้องเดียวกัน พักอยู่หอพักเดียวกัน นอนห้องเดียวกัน แต่แล้ววันหนึ่งตอนกลางวันเราก็ไปโรงอาหารเพื่อจะหาอะไรทานกัน เพื่อนถามผมว่า นายจะกินอะไร ผมบอกว่าผมชอบข้าวผัด เพื่อนมันบอกว่า ผมไม่ชอบข้าวผัด ผมเลยบอกมันว่า ผมชอบก๋วยเตี๋ยว มันก็พูดว่า ผมไม่ชอบก๋วยเตี๋ยว ผมเริ่มงง แล้วผมก็บอกมันว่า ผมชอบขนมปังกับแยม มันก็พูดว่า ผมไม่ชอบขนมปังกับแยม ผมเริ่มโมโห เลยตะโกนดังๆว่า I like pizza.”
พอผมเล่ามาถึงตรงนี้เด็กๆเริ่มหัวเราะกัน ผมก็เล่าต่อว่า
“ผมคิดว่ามันเสร็จผมแน่ๆ เพราะผมพูดภาษาอังกฤษ คิดว่ามันพูดไม่ได้แน่ แต่แล้วผมก็สะดุ้ง เพราะเพื่อนมันพูดขึ้นมาดังๆ ไม่แพ้ผมว่า I don’t like pizza.”
ตอนนี้เด็กเฮกันลั่นห้อง คงสะใจที่เห็นผมแพ้เพื่อน
คราวนี้ผมเลยบอกกับเด็กๆว่า
“เอาใหม่ คราวนี้สมมติว่าพวกคุณเป็นเพื่อนผมคนนั้น ผมชอบอะไร คุณก็ไม่ชอบสิ่งนั้นนะ”
แล้วผมก็เริ่มบทเรียนของผมต่อไปโดยที่ผมพูดประโยคบอกเล่า เด็กๆก็จะพูดประโยคปฏิเสธ พูดไปได้สัก 4-5 ประโยค ผมก็บอกกับเด็กๆว่า
“พอก่อนๆ คราวนี้ผมขออาสาสมัคร 2 คน เป็นตัวแทนผมคนหนึ่ง กับเป็นตัวแทนเพื่อนผมอีกคนหนึ่ง”
พอผมพูดจบ เด็กๆยกมือกันเต็มห้อง หวังจะให้ผมเลือกออกไปพูดหน้าห้อง ผมมองดูทั่วห้อง แล้วผมก็เรียก น้องดำ เด็กสาวสุดซ่าออกมาเป็นตัวแทนผม กับน้องอ๊าฟ เป็นตัวแทนเพื่อนผม
ผมชูบัตรคำให้น้องดำอ่าน น้องดำเริ่มพูดทันที

“I like fish.” แต่เสียงเบาไป ผมเลยบอกน้องดำว่า “ไม่ได้ยิน” น้องดำ พูดดังขึ้นอีก ผมก็บอกว่า ไม่ได้ยิน จนกระทั่งน้องดำตะโกนสุดเสียง ผมจึงหันไปที่น้องอ๊าฟ น้องอ๊าฟก็ตะโกนสุดเสียงไม่แพ้กันว่า “I don’t like fish.”
“I like rice and egg.” น้องดำตะโกนขึ้นมาอีก ถึงตอนนี้ น้องอ๊าฟเริ่มตะกุกตะกัก ผมจึงพูดขึ้นว่า
“เดี๋ยว…..หยุดก่อน รู้สึกว่าน้องอ๊าฟเริ่มจะสู้ไม่ไหวแล้ว งั้น…ขอตัวช่วยผู้ชายสัก 3-4 คนนะ”
เด็กผู้ชายสิบกว่าคนกรูกันออกมาอยู่ฝ่ายนายอ๊าฟ พอเด็กผู้หญิงเห็นตัวช่วยผู้ชายออกมาเยอะ ก็วิ่งกันออกมาบ้างหวังช่วยน้องดำไม่ให้แพ้พวกเด็กผู้ชาย

ตอนนี้ลักษณะที่ปรากฎคือกลุ่มเด็กผู้หญิงสิบกว่าคนหันหน้าเข้าหากลุ่มเด็กผู้ชายสิบกว่าคนเช่นกัน โดยมีผมยืนถือบัตรคำอยู่ที่โต๊ะเด็กแถวหน้า และเด็กอื่นๆอีกไม่กี่คนนั่งอยู่ที่โต๊ะของตน

ผมชูบัตรคำไปทางเด็กผู้หญิง เด็กผู้หญิงตะโกน I like apples. พร้อมกับกระเถิบไปข้างหน้า 1 ก้าว พอเด็กผู้หญิงพูดจบ เด็กผู้ชายก็ตะโกนว่า I don’t like apples. พร้อมกับกระเถิบไปข้างหน้า 1 ก้าวเช่นกัน พร้อมกับหัวเราะอย่างสนุกสนาน
ผมชูบัตรให้เด็กอ่านอีก 2 คำ ผมต้องรีบให้หยุด
“หยุด หยุด พอ พอ พอ ผมสงสัยว่า ถ้าผมให้คุณอ่านอีกคำ มีหวังคุณได้ชกกันแน่”
เด็กๆต่างหัวเราะกันอย่างมีความสุขแล้วพากันกลับเข้าไปนั่งที่

ผมเอาบัตรคำไปหนีบบนเชือกฟางที่ขึงไว้อีกครั้ง ให้เด็กอ่านพร้อมกัน จากนั้นผมเขียนตัวอย่างประโยคปฏิเสธ 1 ประโยค แล้วให้เด็กเขียนประโยคปฏิเสธแบบที่เด็กพูดลงสมุดคนละ 5 ประโยค แล้วนำมาส่งผม
ในขณะที่เด็กทำแบบฝึกหัดอยู่นั้น ผมอดคิดขึ้นมาไม่ได้ว่า ผม สอนให้เด็กทะเลาะกัน นี่ มันตรงกับหลักการสอนของใครบ้างไหม ตรงกับทฤษฎีไหนบ้าง หรือว่าผมสอนผิดวิธี แต่ถึงอย่างไรก็ตาม ผมก็เข้าข้างตัวเองก่อนว่า เด็กเรียนอย่างมีความสุขนะ (ขอเข้าข้างตัวเองหน่อย…..อิอิอิ)

*********************************************************


มณเฑียร ฤกษ์วิสาข์



---------------------------------------------------------------------

เรียนภาษาอังกฤษจากเสื้อยืด



เรียนภาษาอังกฤษจากเสื้อยืด

ปกติแล้วผมเป็นคนชอบเดินดูของตามตลาดนัดต่างๆ ถ้าวันไหนมีตลาดนัดเป็นต้องพบผมที่นั่นตลอด ขอเพียงแค่ได้เดินดูสินค้าต่างๆที่เขานำมาขายผมก็มีความสุขแล้ว แม้ว่าจะไม่ได้ซื้อก็ตาม

แต่ถ้าเป็นสมัยเมื่อยี่สิบกว่าปีก่อน ยุคนั้นบ้านเรายังไม่มีตลาดนัด ผมชอบไปเดินดูของตามห้างต่างๆในกรุงเทพฯ โซนที่ผมชอบไปเดินดูมากที่สุดก็คือ โซนดนตรี เพราะผมชอบเล่นดนตรี และชอบศึกษาเครื่องดนตรีรุ่นใหม่ๆ เพื่อมาแนะนำให้ผู้ปกครองและเด็กๆที่ต้องการซื้อเครื่องดนตรีได้ทราบถึงคุณสมบัติของเครื่องดนตรีแต่ละรุ่น จะได้เลือกซื้อได้ถูกต้องตามความต้องการและงบประมาณในกระเป๋า

อีกโซนหนึ่งที่ผมชอบไปเดินดูคือ โซนของเล่นเด็ก เพราะในโซนนี้จะมีของเล่นต่างๆที่เขาผลิตออกมาเพื่อดูดเงินในกระเป๋าของพ่อแม่ และผู้ปกครองที่รักและห่วงใยบุตรหลานของตน ซึ่งของเล่นต่างๆเหล่านี้แต่ละชิ้น ผู้ผลิตต่างก็ทำการวิเคราะห์ วิจัย ถึงประโยชน์ที่จะเกิดแก่เด็กๆแล้ว ผมชอบเดินดูเพราะระยะนั้นผมชอบผลิตสื่อการเรียนการสอน เพื่อนำมาใช้ในห้องเรียน ของเล่นที่ผมเดินดูหลายชิ้น ถูกผมนำมาดัดแปลงเป็นสื่อการเรียนการสอนเรียบร้อยแล้ว

กลับมา พูดถึงตลาดนัดอีกครั้ง หลายครั้งที่ผมได้สื่อการเรียนการสอนวิชาภาษาอังกฤษที่มีประโยชน์และราคาแพง ในราคาที่ถูกแบบไม่น่าเชื่อ ผม
มีความสุขทุกครั้งที่เห็นเด็กๆเล่นสื่อฯของผมด้วยความสนุกและพอใจ

วันหนึ่งผมไปเดินดูของตามปกติที่ตลาดนัดวัดพิกุล ที่อำเภอบ้านนา ผมเดินดูไปเรื่อยๆ แล้วผมก็สะดุดตากับแผงขายเสื้อผ้า ผมมองดูเสื้อยืดหลากสีที่พ่อค้า แม่ค้านำมาแขวนไว้ ที่หน้าอกเสื้อยืดทุกตัว จะมีแต่ภาษาอังกฤษทั้งนั้น ไม่ว่าจะเป็นชื่อมหาวิทยาลัยของต่างประเทศ ชื่อทีมฟุตบอลดังๆ ชื่อซูเปอร์ฮีโร ชื่อซูเปอร์สตาร์ต่างๆ ชื่อดารา ชื่อการ์ตูนที่มีชื่อเสียง ฯลฯ สารพัด

แล้วความคิดหนึ่งก็เข้ามาในสมอง ผมก็พูดกับตนเองว่า ทำไมเราไม่สอนภาษาอังกฤษจากเสื้อยืดบ้างล่ะ ยี่ห้อสินค้าต่างๆเราก็นำมาสอนแล้ว ชื่อถนนในตัวเมือง ป้ายบอกทางต่างๆก็นำมาสอนแล้ว สอนภาษาอังกฤษจากเสื้อยืด ก็น่าจะได้ผลนะ ผมก็ได้แต่เก็บความคิดนี้ไว้ คิดว่าเมื่อถึงโอกาสจะลองนำมาใช้ดู

และแล้วโอกาสที่ผมได้ทดลองทฤษฎีของผมก็มาถึง
ปีนั้นผมได้ลงมาสอนป.3 หลังจากที่สอนประถมปลายมาโดยตลอด สิ่งแรกที่ผมคิดและต้องทำให้ได้คือ ต้องทำให้เด็กจำอักษรอังกฤษให้ได้ทุกตัว และต้องเทียบอักษรอังกฤษเป็นอักษรไทยให้ได้ด้วยเพื่อจะได้เป็นหลักในการอ่าน
สิ่งแรกที่ผมทำคือผมทำใบความรู้ เรื่องการเทียบอักษรอังกฤษ-ไทย แจกเด็ก สอนเด็กๆเทียบอักษรแบบคร่าวๆ หัดอ่านยี่ห้อสินค้าโดยอาศัยใบเทียบอักษรที่แจกไป จากนั้นบอกเด็กว่า ชั่วโมงต่อไปขอให้ทุกคนนำเสื้อยืดมาด้วยคนละตัว จะเป็นเสื้อยืดอะไรก็ได้ สีอะไรก็ได้ จะเก่าจะใหม่ก็ได้ไม่มีปัญหา

พอวันนั้นมาถึง ผมเข้าห้องสอนด้วยความมั่นใจ แล้วผมก็ให้เด็กนำเสื้อยืดออกมาสวมทับเสื้อนักเรียนอีกชั้นหนึ่ง เด็กๆตื่นเต้นกันมาก คุยกันลั่นห้อง ต่างก็อวดเสื้อของตนอย่างมีความสุข ผมบอกให้เด็กเงียบ แล้วสังเกตเสื้อยืดที่เด็กๆใส่มา เป็นไปตามที่คาดไว้จริงๆคือ เสื้อทุกตัวที่เด็กๆใส่ มีแต่ภาษาอังกฤษทั้งนั้น

ผมขออาสาสมัครมา 1 คน ชี้ที่อักษรบนหน้าอกเสื้อทีละตัวให้เด็กตอบว่าเป็นอักษรอะไร เด็กๆแย่งกันตอบเสียงดังลั่นไปหมด จากนั้นผมก็จะให้เด็กลองอ่าน โดยหัดให้เด็กสะกดคำแบบภาษาไทย
เผอิญเสื้อที่เด็กคนนั้นใส่มาเป็นเสื้อไอ้แมงมุม มีรูปมนุษย์แมงมุมเต็มหน้าอก และมีอักษร SPIDER MAN กำกับอยู่ พอให้เด็กอ่านเท่านั้นแหละ เสียง “สไปเดอร์แมน ๆ ๆ” ดังลั่นห้องไปหมด ผมต้องให้เด็กเงียบเสียงลง แล้วก็เทียบอักษรให้เด็กดูว่า ทำไมจึงอ่านว่า “สไปเดอร์แมน” แล้วก็สอนเสียงสระเพิ่ม คือ er = เ - อร์

ตอนหลังพอขออาสาสมัครอีก เด็กจะแย่งกันออกมาหน้าห้องเพราะอยากโชว์เสื้อของตน และอยากทราบว่าอักษรที่เสื้อของตนนั้นอ่านว่าอย่างไร ผมให้อาสาสมัครออกมาอีก 4-5 คนจึงหยุด แล้วก็บอกให้เด็กจับคู่กับเพื่อน ให้ดูว่าเสื้อของเพื่อนมีอักษรอะไรบ้าง อ่านได้ไหม ถ้าอ่านไม่ได้ให้จดใส่กระดาษแล้วออกมาถามผม

จากนั้นจึงให้จับกลุ่ม 4-5 คน จดอักษรบนเสื้อของทุกคนลงสมุด (ถ้าอักษรมากเกินไปก็ตัดออกบ้างเพื่อความเหมาะสม) แล้วให้แต่ละกลุ่มออกมานำเสนอหน้าห้องกลุ่มละ 1 คำ โดยให้เลือกคำที่กลุ่มตนเองมั่นใจมากที่สุด ในขั้นตอนนี้ผมสามารถสอดแทรกการเทียบอักษร และการอ่านได้อีกมากมาย รวมทั้งยังอธิบายความหมายของคำบางคำบนเสื้อได้อีก

เมื่อต้นเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา ผมได้มีโอกาสร่วมจัดค่ายภาษาอังกฤษกับคณะครูโครงการสองภาษา และมีอยู่ช่วงหนึ่งก่อนให้เด็กพักทานข้าวกลางวัน ผมได้นำเทคนิคนี้มาใช้

ผมเห็น Mr. Kayne ใส่เสื้อยืด แล้วมีอักษรที่หน้าอกว่า Climbing Dog ผมให้เด็กอ่านอักษรทีละตัว แล้วให้อ่านเป็นคำ แล้วลองถามเด็กถึงคำว่า Climbing ว่ามาจากคำว่าอะไร และแปลว่าอะไร เด็กๆตอบได้ เพราะเป็นเด็กโครงการสองภาษา ลองให้เด็กแปลเป็นภาษาไทย เด็กๆแปลว่า หมากำลังปีนต้นไม้บ้าง หมากำลังไต่เขาบ้าง ส่วนผมเองนั้นก็ไม่ทราบเหมือนกันว่าหมายถึงอะไรกันแน่ ผมจึงขอให้ Mr. Kayne บอกความหมายที่แท้จริง Mr. Kayne บอกว่าเป็นกีฬาไต่หน้าผา ที่กำลังนิยมเล่นกันอยู่ทั่วไป พอผมพิจารณาที่หน้าอกเสื้อของ Mr. Kayne ผมก็เห็นรูปคนกำลังเล่นกีฬาชนิดนี้จริงๆ

อันที่จริงแล้ว เทคนิคเรียนภาษาอังกฤษจากเสื้อยืด ยังสามารถนำไปดัดแปลงในการจัดกิจกรรมการเรียนการสอนให้เด็กๆได้อีกมากมาย ซึ่งก็ขึ้นอยู่กับว่าท่านมีแนวทางและความคิดต่อยอดอย่างไร สำหรับสิ่งที่ผมเล่ามานี้เป็นเพียงตัวอย่างที่ผมได้ลองใช้เท่านั้น ผมหวังเป็นอย่างยิ่งว่าข้อเขียนชิ้นนี้คงให้แนวคิดใหม่ๆแก่ท่านผู้อ่านบ้างนะครับ





มณเฑียร ฤกษ์วิสาข์






-----------------------------------------------------------------------------------------------

วันพฤหัสบดีที่ 19 มิถุนายน พ.ศ. 2551

จะเรียนภาษาอังกฤษไปทำไมนะ


จะเรียนภาษาอังกฤษไปทำไมนะ

ตั้งแต่บรรจุเป็นครูภาษาอังกฤษมา ปัญหาที่น่าหนักใจที่สุดคือ การที่ต้องสอนภาษาใหม่ให้แก่เด็กๆ ต้องสอนให้เขารู้ ให้เขา ฟังออก พูดได้ อ่านได้ เขียนได้ ตามวัยและตามวุฒิภาวะของเขา การสอนภาษานี้จะต้องมีเวลาให้เขา ต้องฝึกทักษะแต่ละด้านให้มากๆ และเด็กๆจะต้องใช้ความพยายามพอ สมควรทีเดียว
ข้ออ้างสำหรับเด็กที่ไม่ยอมรับรู้ และไม่ใส่ใจในการเรียนภาษาอังกฤษก็คือ “ภาษาอังกฤษ ไม่ใช่ภาษาพ่อภาษาแม่สักหน่อย ไม่รู้ว่าจะเรียนไปทำไม” อืมมม…… ใช่นะ แต่ภาษาไทยที่เป็นภาษาของเราล่ะ และวิชาอื่นๆอีกล่ะ คุณเรียนได้ดีไหม
สอนเด็กทุกรุ่น สอนเด็กทุกปีก็จะพยายามพร่ำเตือนเด็กๆอยู่เสมอว่า “โลกในอนาคต ภาษาอังกฤษจะสำคัญมากนะ” แต่เด็กๆจะไม่ค่อยเชื่อเพราะคิดว่า “ก็คุณครูสอนภาษาอังกฤษนี่ คุณครูก็ต้องว่าภาษาอังกฤษสำคัญที่สุด คุณครูสอนวิชาไหน ก็ต้องบอกว่าวิชานั้นสำคัญเป็นธรรมดา”
หลายครั้งหลายหนที่ลูกศิษย์เก่าๆมาเยี่ยม ต่างก็มักจะพูดในทำนองเดียวกันว่า ได้ดีก็เพราะภาษาอังกฤษ หลายคนได้ทุน AFS ได้ไปต่างประเทศ หลายคนได้งานที่มั่นคงและเงินเดือนสูงเพราะภาษาอังกฤษดีกว่าคนอื่น บางคนก็บอกว่า “ตอนสอบเรียนต่อ วิชาอื่นๆคะแนนก็ใกล้เคียงกัน ไม่หนีกันเท่าไร แต่ที่ได้ก็เพราะได้คะแนนอังกฤษสูงกว่าคนอื่นๆ”
ก็ครูอังกฤษนี่นา จะพูดอะไรก็ต้องว่า ภาษาอังกฤษสำคัญอยู่นั่นแหละ อิอิอิ
เรามาลองอ่านข้อเขียนของ ร.ต.อ. ดร.นิติภูมิ นวรัตน์ ในคอลัมน์ “เปิดฟ้าส่องโลก” ใน นสพ.ไทยรัฐ ฉบับวันที่ 19 มกราคม 2550 แล้วจะรู้ว่า ทำไมจึงต้องเรียนภาษาอังกฤษให้เก่ง

************************************************************
หลังจากที่ญี่ปุ่นปฏิรูปหลักสูตรครั้งใหญ่ใน พ.ศ.2545 นิติภูมิมีโอกาสไปดูงานการศึกษาในญี่ปุ่นเมื่อ พ.ศ.2547 และกลับไปอีกครั้งเมื่อ พ.ศ.2549 เพื่อศึกษาว่า เมื่อปฏิรูปปรับปรุงหลักสูตรแล้ว การศึกษาของญี่ปุ่นเปลี่ยนไปยังไงบ้าง
ในการปรับปรุงหลักสูตร รัฐบาลญี่ปุ่นเน้นวิชาภาษาอังกฤษ ก่อนหน้า พ.ศ.2545 เด็กโรงเรียนรัฐบาลเริ่มเรียนเขียนอ่านอังกฤษตอน ม.1 การเริ่มเรียนที่ช้า ทำให้คนญี่ปุ่นพูดภาษาอังกฤษไม่ค่อยได้ เป้าหมายของรัฐบาลญี่ปุ่นตามหลักสูตรใหม่ก็คือ เยาวชนที่จบมัธยมต้นและปลายต้องสื่อสารภาษาอังกฤษในชีวิตประจำวันได้ ส่วนคนที่จบมหาวิทยาลัย จะต้องใช้ภาษาอังกฤษในการประกอบอาชีพได้
รัฐบาลญี่ปุ่นเอาจริงขนาดเริ่มนโยบายใหม่ ด้วยการหนุนให้นักเรียนชั้นมัธยมปลายได้ไปเรียนภาษาอังกฤษในต่างประเทศ ตั้งแต่ พ.ศ.2549 เป็นต้นมา ใครที่จะสอบเข้ามหาวิทยาลัยก็จะต้องสอบวิชาการฟังภาษาอังกฤษ เพราะถ้าไม่บรรจุวิชาสอบเอ็นทรานซ์ไว้อย่างนี้ เด็กก็จะไม่ ขวนขวายเพื่อฟังภาษาอังกฤษให้รู้เรื่อง
************************************************************
เป็นอย่างไรบ้างครับ นี่ขนาดประเทศที่ได้ชื่อว่า ประชาชนมีความเป็นชาตินิยมสูงนะครับ ยังมีความคิดขนาดนี้ แล้วเรายังจะคิดล้าหลังเขาอีกหรือครับ มาอ่านต่อนะครับ
************************************************************
สำคัญที่สุดก็คือ ครูผู้สอนวิชาภาษาอังกฤษซึ่งทั้งประเทศมี 6 หมื่นคน รัฐบาลพัฒนาครูภาษาเหล่านี้ด้วยการจัดหลักสูตรอบรมอย่างเร่งด่วน นอกจากนั้น ยังจัดงบประมาณจ้างผู้ชำนาญการภาษาอังกฤษมาช่วยสอนครูถึงในสถานศึกษา
พ.ศ.2546 เป็นต้นมา ญี่ปุ่นออกกฎหมายให้ครูที่สอนเกิน 10 ปี จะต้องเข้ารับการฝึกอบรม + โรงเรียนยังต้องส่งครูไปฝึกงานในสถานที่ประกอบธุรกิจ ไม่ใช่ไปเพียงอุจจาระปัสสาวะแล้วก็กลับนะครับ แต่ไปฝึกระยะเวลายาว เพื่อให้ครูมีประสบการณ์ทางด้านสังคมด้วย
************************************************************
โอย…เห็นนโยบายของเขาแล้วน่าอิจฉาจัง สมมติว่าเราไปเป็นครูสอนภาอังกฤษที่นั่น เราจะทำได้อย่างที่เขาต้องการไหมนะ เอาอีกนิดดีกว่านะครับ
************************************************************
นักศึกษาในโรงเรียนฝึกหัดครูหรือในวิทยาลัยครูก็เหมือนกัน แค่ความรู้ในระบบจากสถาบันการศึกษา ไม่สามารถที่จะประกอบอาชีพเป็นครูได้ ถ้านักศึกษาครูอยากได้ใบประกอบวิชาชีพครูประถมและมัธยมต้น จะต้องไปฝึกงานจากสถานสงเคราะห์ต่างๆเป็นระยะเวลานานพอสมควรเสียก่อน
************************************************************
ทรัพยากรที่สำคัญที่สุดคือ ทรัพยากรมนุษย์ ญี่ปุ่นรู้ซึ้งถึงสัจจธรรมข้อนี้ จึงได้พยายามทุกวิถีทางที่จะพัฒนาคนในชาติของเขาให้เป็นคนที่มีคุณภาพ พัฒนาเป็นขั้นตอนตั้งแต่เด็กๆเลยทีเดียว แล้ววิชาอะไรล่ะที่ญี่ปุ่นเห็นว่าสำคัญที่สุดสำหรับคนในชาติของเขา
************************************************************


มณเฑียร ฤกษ์วิสาข์

เกริ่นนำ

เกริ่นนำ
ตั้งแต่เด็กจำได้ว่าชอบเรียนภาษาอังกฤษมาก และยิ่งโชคดีมากยิ่งขึ้นที่ได้เรียนภาษาอังกฤษครั้งแรกกับ คุณครูอดุลย์ จิตตนันทากูล ซึ่งนอกจากท่านจะให้ความรู้ด้านภาษาอังกฤษแล้ว ท่านยังเป็นต้นแบบในการสอนภาษา เทคนิคต่างๆที่ใช้สอนเด็กทุกวันนี้ก็พัฒนามาจากรูปแบบของท่านทั้งสิ้น
เป็นครูมาสามสิบกว่าปี เทคนิคการสอน อุปกรณ์การสอน ข้อทดสอบ เกม แบบฝึกหัดต่างๆ ได้ประดิษฐ์คิดค้นมามากมาย แต่เป็นที่น่าเสียดายที่ไม่เคยเก็บ ไม่เคยบันทึกไว้เลย หลายสิ่งหลายอย่างก็สูญหายไปตามกาลเวลา และบางอย่างก็ตายไปตามกาลเวลาเช่นกัน
ตอนที่ไปอบรมที่บริสเบน ประเทศออสเตรเลีย อาจารย์ Joleene ท่านได้แนะนำให้พวกเราสร้าง webblog เพื่อสร้างแหล่งเรียนรู้สำหรับเด็กๆ เพื่อส่งเสริมการเรียนรู้และเพื่อเผยแพร่ผลงานของตนเอง จากจุดนั้นนับเป็นจุดเริ่มต้นที่ทำให้เราได้คิด และเริ่มสร้าง webblog เพื่อบันทึก และเผยแพร่ผลงานทั้งของตนเอง และสิ่งที่ได้เรียนรู้มา โดยที่อาจจะเป็นประโยชน์แก่เพื่อนครูด้วยกันหรืออาจจะเป็นที่ผ่อนคลายสมองสำหรับท่านอื่นๆ
Webblog นี้คงไม่สุดสวยเลิศเลอเหมือนกับ webblog อื่นๆ เพราะเจ้าของทำได้แค่นี้จริงๆ แต่ขอให้ท่านมีความสุข เพลิดเพลินกับเนื้อหาภายในก็ดีใจแล้ว

มณเฑียร ฤกษ์วิสาข์