วันจันทร์ที่ 3 ธันวาคม พ.ศ. 2561

ข้อคิดสำหรับครูใหม่


ข้อคิดสำหรับครูใหม่
        คิดอยู่นานว่าจะเขียนเรื่องนี้ดีไหม เพราะเหมือนจะเป็นการสกัดกั้นครูบรรจุใหม่ไม่ให้แสดงฝีมือหรือความสามารถที่มีอยู่ แต่มาคิดดูอีกทีก็อดสงสารครูใหม่ไม่ได้ เพราะจะตกเป็นเหยื่อครูเก่าไปโดยไม่รู้ตัว เอาอย่างนี้ดีกว่า กรรมใครกรรมมัน เราเพียงแต่ให้ข้อคิด ส่วนการตัดสินใจ ให้เป็นของเจ้าตัวเองก็แล้วกัน
1.     ครูที่บรรจุใหม่หรือครูที่ย้ายไปอยู่โรงเรียนใหม่ทุกคนจะมีความคิดเหมือนกันอยู่อย่างหนึ่งคือ อยากโชว์ความสามารถของตนว่าตนทำอะไรได้บ้าง อยากทำโน่น อยากทำนี่ เพื่อให้ครูเก่าๆยอมรับ  ในขณะเดียวกันก็อยากทำโน่น ทำนี่ เพื่อให้คนเก่าๆและผู้บริหารเห็นความสำคัญ และเพื่อจะได้รับความดีความชอบพิเศษ
สิ่งที่ตามมา
-         ครูใหม่จะตกเป็นเหยื่อของครูเก่า เพราะครูเก่าอยากจะโยนงานออกจากตัว  ไม่อยากมีภาระ ไม่อยากรับผิดชอบงานให้เหนื่อย ให้หนักสมอง จะโยนงานให้ใครก็ไม่ได้ เพราะครูเก่าทุกคนไม่อยากรับภาระด้วยกันทั้งนั้น จะโยนงานออกจากตัวได้ก็ต่อเมื่อมีครูบรรจุใหม่ หรือครูย้ายมาใหม่เท่านั้น ซึ่งจะตรงกับความต้องการของครูใหม่ที่อยากโชว์ฝีมือพอดี เขามอบหมายอะไรให้ก็จะรับหมด
-         ใหม่ๆ ครูใหม่เหล่านี้จะทำงานด้วยความสุข ด้วยความสนุก และจะดูถูกครูเก่าๆเหล่านั้นว่า เป็นครูที่ล้าสมัย  ไม่มีหัวก้าวหน้า ทำอะไรไม่เป็น อะไรๆก็ต้องอาศัยครูใหม่อย่างตน แต่พอนานๆไป สัก 3-4 ปี ในขณะที่ครูท่านอื่นๆได้ไปไหนมาไหนกันในวันหยุด แต่ตัวเองต้องไปทำงานที่ค้างไว้ ก็จะเริ่มคิดว่าทำไมต้องเป็นเรานะ แล้วจะเริ่มนึกเบื่องาน อยากโยนงานออกจากตัว แต่จะโยนงานให้ใครล่ะ ครูเก่าๆก็ไม่มีใครรับแล้ว คงต้องรอครูใหม่นั่นเอง
2.     ครูที่เก่งๆ มีความสามารถหลายๆด้าน ยิ่งเก่งมากเท่าไร ก็จะยิ่งได้รับมอบหมายงานมากขึ้นเท่านั้น และยิ่งทำได้ดีทำได้สำเร็จมากเท่าไร ก็จะมีพวกหมั่นไส้ อิจฉาริษยามากขึ้นเป็นเงาตามตัว จะโดนนินทาสารพัด จะหาคนที่จริงใจยาก จะขอความร่วมมือจากใครก็ยาก และที่สำคัญอย่าคิดว่าจะได้ความดีความชอบพิเศษกว่าคนอื่น เพราะมันมีปัจจัยที่คิดไม่ถึงอีกหลายอย่าง
3.     ครูที่เก่งๆ ไม่ว่าจะเก่งด้านใดก็ตาม ถ้าเกิดทำอะไรพลาดขึ้นมา จะมีแต่คนคอยซ้ำเติม  บางครั้งแม้ว่าจะไม่ได้ทำอะไรผิด แต่ก็อาจถูกใส่ร้าย ใส่ความ หาเรื่องตลอด
4.     ครูที่เก่งๆ ที่แสดงความรู้ความสามารถจนคนทั่วไปยอมรับ เมื่อเลิกทำงาน ไม่ยอมรับงาน เลิกแสดงฝีมือ สิ่งที่ตามมาคือ จะโดนด่า ว่า “มีความรู้ ความสามารถ แต่ไม่ทำ” “เป็นคนหัวแข็ง ไม่ทำตามคำสั่งของผู้บริหาร” ในเมื่อโดนสังคมพิจารณาตัดสินอย่างนี้แล้ว โอกาสที่จะก้าวหน้าในหน้าที่ราชการ ยากมาก
5.     จงหลีกเลี่ยงงานที่เป็น “ภาระผูกพัน”
อะไรคืองานที่เป็น “ภาระผูกพัน”
มันคืองานที่หยุดไม่ได้ ต้องทำตลอดไป เช่น งานฝึกนักกีฬา งานสอนดนตรีไทย งานทำวงดนตรี ทำวงดุริยางค์ ฝึกสอนเด็กประกวดแข่งขันต่างๆ งานพวกนี้ต้องฝึก ต้องซ้อมตลอด พอหมดชุดเก่าก็ต้องฝึกชุดใหม่ออกมาแทนที่ หยุดไม่ได้ เป็นอย่างนี้ตลอดทั้งปี ทุกปี
6.     ถ้าจะรับงาน ขอให้เป็นงานประเภท “เลิกงาน หมดงานแล้วจบ” เช่น งานพิธีกร งานติดต่อร้านค้ามาขายสินค้าวันพบผู้ปกครอง งานขอสนับสนุนสิ่งของมอบให้เด็กในวันสำคัญต่างๆ เป็นต้น งานประเภทนี้ถึงแม้เราไม่ทำ ก็หาคนทำแทนได้
7.     ในการเป็นหัวหน้างาน อย่าทำงานคนเดียว จงประชุมปรึกษา ถามความคิดเห็น แบ่งงาน กระจายงานให้ทำอย่างทั่วถึงทุกคน อย่าคิดว่าคนอื่นทำได้ไม่ดี แล้วเหมามาทำเองคนเดียว อย่าให้คนอื่นๆสบาย ทำงานน้อย เพราะถ้ามีการลงคะแนนเลือกหัวหน้างาน เราก็จะโดนเลือกตลอดไป เพราะเลือกเราแล้วเขาสบาย
8.     ในการได้รับมอบหมายให้ดูแลวัสดุอุปกรณ์ หรือห้องพิเศษต่างๆ ให้เจ้าหน้าที่คนเก่าทำบัญชี บันทึกรายละเอียดว่า ได้มอบหมายอะไรให้เราดูแลบ้าง  เราเซ็นรับ แล้วดูแลเฉพาะสิ่งที่เซ็นรับเท่านั้น อย่างอื่นที่เห็นอยู่แต่ไม่อยู่ในบัญชีก็ไม่ต้องไปสนใจ
9.     อย่าเสนอโครงการหรืออะไรใหม่ๆ เพราะในบ้านเรา เขาจะถือคติว่า “ใครเสนอ คนนั้นทำ” แต่ถ้าอยากทำก็เสนอไป แต่ขอให้ไปอ่าน ข้อ 1, 2, 3, 4 อีกรอบ
10. ถ้าเสนองานหรือโครงการใหม่ๆโดยที่เราไม่ต้องรับผิดชอบ เราก็จะโดนคนที่ได้รับมอบหมายด่า โดยเขาจะเหมาว่า เป็นเพราะเราคนเดียวที่เสนอโครงการไป ทำให้เขาต้องเหนื่อย
11. อย่าเก่งกว่าผู้บริหาร อย่าคิดก่อนผู้บริหาร อย่าเตรียมการก่อนผู้บริหารสั่ง ขอให้อ่านคำประพันธ์นี้
“เร็วก็ว่าล้ำหน้า   ช้าก็ว่าอืดอาด
โง่ก็ถูกตวาด   ฉลาดก็ถูกระแวง
ทำก่อนบอก ไม่ได้สั่ง ทำทีหลังบอก ไม่รู้จักคิด
คนดีกันไปให้ไกลตัว   คนชั่วเอามาใกล้ชิด”
12. อย่าหลวมตัวเสียสละรับงานมากกว่าคนอื่นๆตามคำหวานของผู้บริหาร บางครั้งผู้บริหารจะปลอบว่า ให้รับงานไปก่อนเดี๋ยวพอมีครูคนใหม่มาก็จะให้คนใหม่ทำ แล้วเราจะรู้ไหมว่าเมื่อไรจะได้ครูคนใหม่ เมื่อไรครูคนใหม่จะมา ก็คงต้องเหนื่อยตลอดไปบางครั้งผู้บริหารอาจจะเอาความดีความชอบพิเศษมาล่อ  (เช่น การรับงานสอน 23 ชม./สัปดาห์ ในขณะที่ครูคนอื่นๆสอนเพียง 18 ชม./สัปดาห์) ผู้บริหารไม่ค่อยจำว่าเคยพูดหรือสัญญาอะไรกับใครตอนที่หลอกใช้งานเขา
13. สรุป ถ้าจะเก่ง ให้เก่งได้เฉพาะวิชาเอกของเรา ถ้าผู้บริหารถามหรือต้องการอะไรที่เกี่ยวกับวิชาเอกของเรา เราต้องตอบได้ ให้ข้อมูลได้ ทำงานนั้นให้ได้ แต่อย่าให้คนที่เอกวิชาอื่นเก่งกว่าเราในวิชาเอกของเรา เราเอกภาษาอังกฤษ แต่อย่าให้ครูเอกคณิตศาสตร์เก่งภาษาอังกฤษกว่าเรา เราต้องพัฒนาวิชาเอกของเราอยู่ตลอดเวลา สำหรับเรื่องอื่นๆ อย่าเก่ง
คิดว่าข้อคิดทั้งหมดที่เขียนมานี้ คงเป็นสิ่งเตือนใจครูใหม่ให้มีความรอบคอบใน
การรับงาน หรือทำงานมากขึ้น แต่สิ่งหนึ่งที่ขอฝากครูใหม่ทุกคนในการทำงานคือ “ผลงานที่ออกสู่สายตาประชาชน จะต้องตรวจสอบความถูกต้องก่อน และผลงานจะต้องออกมาอย่างดีที่สุด ถ้าไม่ใช่แบบนี้ อย่านำมาแสดง”

----------------------------------------------------------------------------------------------------

วันอังคารที่ 13 พฤศจิกายน พ.ศ. 2561

Flying to Brisbane 28


Going to Brisbane.
3 ..2551
          พอตื่นขึ้นมาในวันนี้ก็เก็บของลงกระเป๋าเลย จนเสร็จก็ไปเอาตาชั่งในห้องน้ำมาลองชั่งดู กระเป๋าใบใหญ่ 16 กก. ใบเล็ก 8 กก. เป้ 5 กก. กระเป๋าโน้ตบุ้ค 5 กก. กระเป๋าใบใหญ่กับใบเล็กรวมกันได้ 24 กก. เกินไป 4 กก. ไม่น่าจะมีปัญหา แต่เป้กับกระเป๋าโน้ตบุ้ค เอาขึ้นเครื่องคิดว่าไม่น่าจะมีปัญหาเช่นเดียวกัน
          จากนั้นไปชงกาแฟ กินขนมปัง โกนหนวด (เอาซะหน่อยเดี๋ยวเปี๊ยกจำไม่ได้) อาบน้ำ สระผม แต่งตัวออกมา อ้าว…… 10:30 แล้ว เช็คตารางเดินรถ อีก 13 นาทีรถมาเลยออกจากบ้านไปรอรถที่หน้าโรงเรียน คอยอยู่สักพัก รถเก๋งสีแดง ยูเทิร์นมาจอดข้างหน้า อานนท์กับอาดุลย์ก็ลงจากรถมาหาเรา บอกกับเราว่า Host จะพาไป Browns Plains พอดีเห็นเราเลยขอให้ส่งตรงนี้ จะให้เราไปด้วยก็ไม่ได้เพราะติดคันเบ็ดในรถ สงสัยจะไปตกปลา
          ไปถึง Browns Plains ก็เข้าไปใน Grand Plaza โทรศัพท์หาเปี๊ยกกับตึ๋ง แลัวถ่ายรูปร้านค้าต่างๆ พอไปถ่ายรูปในบริเวณโรงหนัง รปภ. ก็เข้ามาบอกว่าที่นี่ห้ามถ่ายรูปขอให้เราลบรูปออก เราขอโทษเขาบอกว่าเราไม่รู้ แล้วก็ลบภาพออกทีละภาพจน รปภ.พอใจ
          อาดุลย์ไปซื้อนาฬิกาให้แฟน (เราเลือกให้) เดินไปห้าง Big W, Kmart สุดท้ายไปหาซื้อของกินที่ร้าน Coles ได้ไก่อบมาครึ่งตัว ขนมปังครึ่งแถว ปลากระป๋อง 1 กระป๋อง เป๊ปซี่ 1ขวด ขนาด 1.25 ลิตร นมช้อกโกแล็ต 1 กล่อง ขนาด 1 ลิตร น้ำส้มผสมน้ำมะม่วงเข้มข้น ขนาด ครึ่งลิตร 1 กล่อง องุ่น 1 แพ็คและส้ม 1 ถุง รู้สึกว่าจะหมดเงินไป 13 ดอลกว่าๆ แล้วไปนั่งกินกันที่ศูนย์อาหาร เพิ่งรู้ว่าองุ่นไร้เม็ดอร่อยมากวันนี้เอง
          กินอิ่มอาดุลย์ไปหาซื้อของฝากต่อ สุดท้ายก็ได้หนังสือแต่งตัวตุ๊กตาให้ลูกสาว 1 เล่ม 10 ดอล แล้วชวนกันกลับ
          พอเราขึ้นรถก็พบคนขับคนเดิมที่เราพบตั้งแต่วันแรก เข้าไปบอกเขาว่าวันนี้เป็นวันสุดท้ายที่เราจะอยู่ที่นี่ ขอบคุณมากสำหรับทุกอย่าง แล้วเราก็ยกมือไหว้เขา สงสัยว่าเขาจะรู้ธรรมเนียมคนไทยนะ เพราะเขาไหว้ตอบ
          สักครู่อาดุลย์กับอานนท์ก็มาขึ้นรถคันเดียวกับเราแล้วนั่งคุยกันไปตลอดทาง
          ถึงบ้านแทนที่จะนอนพักผ่อนกลับนั่งทำ Power Point กับ Learning Log จนเสร็จ ช่วงนี้โรบินเอาของขวัญมาให้เราก่อนจาก เป็นธงชาติออสเตรเลียกับสร้อยคอ เธอบอกว่าสร้อยคอนี่เอาไว้ให้ลูกสาวเรา เราก็กล่าวคำขอบคุณเธอ
6 โมงเย็น โรบินทำอาหารให้กิน ก็เป็นอาหารของเมื่อวาน มีลักษณะคล้ายแผ่นเกี๊ยวนึ่งผสมกับหมูแฮมชิ้นเล็กๆทอดราดครีม วางบนข้าวสวย กินแต่แผ่นเกี๊ยวกับหมูแฮม ไม่กล้ากินข้าวเพราะเคี้ยวแล้วมันกรุบๆเหมือนกับว่าข้าวไม่สุกกลัวจะปวดท้องทีหลัง
          อาบน้ำแต่งตัวขนของไปวางหลังประตูหน้า โรบินถามว่าทำไมรีบขนของมา เขาจะมารับตอนทุ่มสี่สิบ นี่แค่ทุ่มยี่สิบเอง ก็บอกเธอว่าไม่อยากให้เขามารอ เดี๋ยวดูทีวีรอก็ได้เพราะตั้งแต่มา ยังไม่เคยดูทีวีของที่นี่เลย โรบินเห็นด้วย เพราะเธอบอกว่าเห็นแต่เราใช้คอมพ์ตลอด พูดจบมีเสียงเคาะประตู เรานึกว่าเพื่อนบ้านของโรบิน ที่ไหนได้โรบินบอกว่าเธอมารับเราแล้วนะ เลยขนของขึ้นรถแล้วอำลาโรบิน
          ไปรับอาดุลย์กับอานนท์ แล้วก็ขับหลงทางกว่าชั่วโมงกว่าจะไปรับน้องปาน น้องอิ๋วน้องนก และน้องรุ่ง แล้วตรงไปสนามบินทันที
          ถึงสนามบินสามทุ่มกว่าๆ ตอนเอากระเป๋าไปชั่งน้ำหนัก ใจสั่นนะกลัวว่าน้ำหนักจะเกิน เพราะก่อนมาชั่งกระเป๋า 2 ใบรวมกันได้ 24 กิโล และเป้กับโน้ตบุ๊คที่เราแบกอีก 10 กิโล แต่เป้กับโน้ตบุ้คไม่ได้เอาไปให้ชั่งเพราะเราแบกเอง ยอมปวดไหล่
          พอชั่งผ่านก็ไปโทรศัพท์หาตึ๋งกับเปี๊ยกแล้วเข้าไปด้านใน ตอนผ่านด่านขาออก ไอ้มืดที่เป็นเจ้าหน้าที่ให้เราเอาของในกระเป๋ากางเกงออกมาดู เราล้วงผ้าเช็ดหน้า เหรียญ 10 เซ็นต์กับที่ตัดเล็บ เขาขอที่ตัดเล็บเอาไปแงะดูเห็นมีที่แคะเล็บกับมีดเล็กๆ เขาบอกว่ามันอันตราย เราเลยบอกให้เขาโยนทิ้งไป แต่เขาเอาวางไว้บนโต๊ะ คงจะเก็บไปใช้น่ะ
          เอาเป้กับโน้ตบุ้คไปฝากน้องแอนแล้วเดินดูของใน Duty Free ช็อกโกแล็ต กับของฝากต่างๆแพงกว่าข้างนอกเยอะ แต่เหล้าที่โกวาฝากซื้อราคา 29 ดอล 2 ขวด 49 ดอล ถูกกว่าข้างนอก เพราะที่ Westend ขวดละ 43 ดอล ที่ร้านในห้าง Myer ราคา 45 ดอล เราถามคนขาย เธอบอกว่าเราเอาขึ้นเครื่องได้แค่ลิตรเดียว ใจจริงอยากเอามา 2 ขวด แต่กลัวมีปัญหาเรื่องใบเสร็จรับเงินถ้าเราให้อานนท์ถือให้อีกขวด เอาแค่นี้ก็ได้
          กว่าจะได้ขึ้นเครื่องก็เที่ยงคืนกว่าๆ เราได้นั่งติดหน้าต่างตามเดิมกับน้องศิและน้องต้อย แยกกับพรรคพวกคนอื่นๆ
          ตอนเครื่องบินเหินขึ้นสู่ท้องฟ้า เราชวนน้องศิกับน้องต้อยมองดูสนามบินด้านล่างที่มีแสงส่องสว่าง แล้วน้องต้อยก็พูดว่า ลาก่อนบริสเบน” อืม……ลาก่อนจริงๆนะ นับแต่นี้เราคงไม่มีโอกาสได้มาบริสเบนอีกแล้ว และจะขอเก็บความทรงจำที่ดีๆกับเราไว้ตลอดไป ลาก่อนบริสเบน ลาก่อนตราบนิรันดร์

----------------------------------------------------------------
 

Flying to Brisbane 27

Going to Brisbane.
2 ..2551
          วันนี้เป็นวันสุดท้ายของการเรียนที่ EF แล้ว ถึงอย่างไรก็รู้สึกเฉยๆ มีความรู้สึกเหมือนทุกๆวันทีผ่านมา ดังนั้นตอนตื่นขึ้นมาก็อดแถมนิดแถมหน่อยไม่ได้
          ออกจากบ้านตอน 6:30 ไปขึ้นรถสาย 560 ที่หน้าโรงเรียน Regents Park Primary School ที่อยู่บนถนน Emerald Drive ถนนอีกสายที่อยู่ใกล้ๆกัน
          วันนี้อากาศหนาวน้อยกว่าเมื่อวาน เดินไปกินขนมปังไปเรื่อยๆ แต่พอไปถึงป้ายรถเมล์รู้สึกว่าอากาศจะหนาวขึ้นต้องยืนรอรถที่กลางแดด
          ตอนแรกคิดว่าจะไม่เอาคอมพ์ไปด้วยเพราะหนักแต่พอคิดได้ว่า บอกกับน้องๆไว้ว่าวันนี้จะ Copy ไฟล์ Power Point และไฟล์ไดอารี่ให้เลยต้องยอมเหนื่อย
          รถ 540 พาเราไปถึง Cultural Centre ได้เร็วกว่าสายอื่นๆ เพราะถึงแม้ว่าวันนี้จะเป็นวันเปิดเรียน แต่ก็ใช้เวลาแค่ 50 นาทีเอง
          ก่อน Lindy จะเข้าสอนก็ก๊อปข้อมูลให้น้องแอนน้องอัญกับน้องตูนเรียบร้อย วันนี้เป็นการเสนอปัญหาต่างๆที่พวกเราทำ Research ผ่านทาง Power Point ช่วงนี้เราก็ก๊อปข้อมูลให้คนอื่นๆต่อ
          รายการของกลุ่มเราในวันนี้การนำเสนอไม่เป็นไปตามที่เราทำไว้ เพราะเครื่องคอมพ์ของ Lindy ใช้เวอร์ชั่น 2000 ตอนที่พูดถึงปัญหาระเบียบวินัยในห้องเรียนของเด็กไทย ข้อที่ว่าชอบคุยกันตอนที่ครูสอน รูปที่เราเตรียมไว้กลับแสดงผลคลาดเคลื่อนออกมาแค่รูปเดียว และรูปที่เหลือไม่ยอมเลือนหายไป ทำให้ตัวอักษรในข้อต่อๆมาขึ้นมาทับรูปภาพ ทำให้อ่านไม่ค่อยสะดวก
          พระเอกของกลุ่มเราในวันนี้คืออานนท์เช่นเดิม เขาแกล้งพูดไทยปนบ้างบางครั้งเรียกเสียงฮาได้ตลอด
          รายงานจนครบทุกกลุ่ม Lindy จะให้ไปพัก แต่ช่วงนี้รู้สึกว่าจะมีปัญหาเพราะพี่ประกอบยังไม่ได้นำเสนอเพราะไม่ได้ทำ Power Point ส่ง เลยขอนำเสนอเดี๋ยวนั้นเลย
          พี่ประกอบเกิดปีเดียวกับเรา แต่อ่อนเดือนกว่า เป็นคนที่ไม่ค่อยพูดแต่เป็นคนมีน้ำใจ เรื่องภาษาอังกฤษไม่ต้องพูดถึง เก่งกว่าเรามาก ทั้งการพูดที่คล่องแคล่วและการนำเสนอที่ไหลลื่นตลอด
          อีกกลุ่มหนึ่งที่มีปัญหาคือกลุ่มของน้องอูมอัจฉริยะประจำกลุ่ม เธอบอกว่าส่ง E-mail และแนบไฟล์ไปให้ Joleene แล้ว แต่ทำไมข้อมูลของเธอจึงไม่มี รู้สึกว่าเธอจะไปนำเสนอกันตอนหลังเพราะเราออกมาก๊อปข้อมูลให้คนอื่นๆต่อ และต่อมา Lindy กับ Kate ก็ลงไปพิมพ์เกียรติบัตร
          รู้สึกดีใจ ภูมิใจและประทับใจมากที่ผลงานที่เราทำเล่นๆเพื่อเก็บเอาไว้เป็นความทรงจำ กลับถูกใจน้องๆหลายคน Power Point แต่ละเรื่องที่เราทำ ทุกคนที่ได้ดูได้เห็นต่างก็ชอบกัน ขอก๊อปกันเกือบครึ่งห้องเลยต้องใช้เวลาในช่วงนี้ทำให้เสร็จให้หมด
          เกือบเที่ยงที่ Lindy กับ Kate ขึ้นมา แล้วก็เริ่มเข้าสู่พิธีมอบเกียรติบัตรซึ่งทำกันง่ายๆสบายๆในห้องเรียน พวกเราช่วยกันขยับเก้าอี้เพื่อให้มีที่สำหรับถ่ายรูป แล้วมอบกันหน้าห้องนั่นเอง
          เกียรติบัตรทั้งชุดจะมี 4 ใบ มีเกียรติบัตร ใบแสดงผลความสามารถทางการใช้ภาษาทั้ง 4 ทักษะ ใบประเมินผลการเรียน และใบรายงานผลการเรียนที่คิดเป็นเกรด คะแนนของเราส่วนใหญ่อยู่เกรดบี ได้คะแนนเฉลี่ย 3.04 และผลการสอบทางด้านภาษาก่อนอบรมได้ 50 เต็ม 70 และหลังอบรมได้ 59 ก็อยู่ในเกณฑ์ใช้ได้นะสำหรับคนแก่วัย 53 แบบเรา
          เสร็จพิธีมีการมอบของที่ระลึกให้ Lindy และ Kate สมพรมอบให้ Lindy พอถึง Kate น้องๆกลับเรียกเราให้ไปมอบ งงว่ะ ทำไมต้องเป็นเรา ก็ต้องออกไปมอบ น้องๆบอกว่า พูดด้วยๆ อ้าว….แล้วจะพูดอะไรล่ะ หันไปหาน้องอูมจะให้ช่วยพูด น้องอูมก็เฉย คงงงเหมือนกันนั่นแหละ เอาวะ เอาไงเอากัน “They want me to give you a souvenir because I am the oldest.” หยุดไปครู่หนึ่ง ไม่รู้ว่าอะไรดลใจให้พูดไปว่า “I want to tell you that our hearts belong to you.” พอพูดจบน้องๆ เฮกันตรึมเลย ไหนว่าพูดไม่เป็น น้ำตาลอายไปเลย“โหสั้นๆแต่กินความชะมัดเลย” เราเองก็งงนะ พูดไปได้ยังไง
จากนั้นก็มีปาร์ตี้กันเล็กๆ มีน้ำอัดลม ขนมและผลไม้กินกันไปถ่ายรูปกันไป แซวกันไปสนุกดี
ร้านมาเลย์ในวันนี้คับคั่งไปด้วยพวกกะเหรี่ยงจากเมืองไทย นับดูแล้วก็ 20 คน สั่งอาหารมา 3 อย่างๆละ 4 ชุด มีต้มยำไก่ ปลาหมึกผัดพริกเผา ผัดผักรวมมิตร นอกจากนั้นกลุ่มของน้องยุ่งยังมีอาหารมาอีก 3-4 อย่าง รู้สึกว่าจะมีไก่ผัดพริก ไข่เจียว น่องไก่ทอดกับต้มข่าไก่ น้องนนท์เอามาอีก 3 อย่างมีไข่ต้ม ไข่เจียวกับปลากระป๋อง
น้องเอ็มบอกว่ามารู้จักร้านนี้ตอนจะกลับแล้ว เสียดายจัง ทุกคนพูดเป็นเสียงเดียวกันว่าอร่อย ถูกปากมาก เหมือนกับฝีมือคนไทยเลย และค่าอาหารวันนี้ 120 ดอล เอา 15 หาร ออกกันคนละ 8 ดอล กลุ่มน้องยุ่งกับอานนท์ไม่ต้องออกเพราะมีอาหารมาเอง
แยกย้ายกันหลังอาหาร กลุ่มเราจะไป Garden Park แต่ต้องรออาดุลย์ที่ไปละหมาดก่อน ตอนหลังต้องเปลี่ยนแผนเพราะไปกลับไม่ทัน เลยไปหอระฆังที่อยู่ในพิพิธภัณฑ์บริสเบนคนละที่กับพิพิธภัณฑ์ควีนสแลนด์ที่อยู่ใกล้ๆกับ Cultural Centre กะว่าจะขึ้นหอไปชมวิวที่นี่ ลิฟท์ที่ใช้เป็นของเก่าอายุ 80 ปีแต่ก็ต้องผิดหวัง เพราะพอไปถึงเขาเอาป้ายมาปิดว่า หอปิดจะให้ใช้บริการใหม่ตอน 10 นาฬิกาพรุ่งนี้ เลยไปถ่ายรูปกันที่หน้าอาคาร
น้องปูจัดรายการใหม่ พาไปขึ้นรถไฟเพื่อไป Mt. Coot-tha เพื่อไปดูหอไอเฟลจำลอง ซึ่งอยู่ที่ Park Road พากันลงรถที่สถานี Milton ที่ห่างแค่ไม่กี่สถานี พอไปถึง อะไรวะ แค่นี้เอง เป็นหอไอเฟลที่จำลองจริงๆ อยู่บนหลังคาร้านอาหารฝรั่งเศส ขนาดสูงประมาณ 10 เมตรมั้ง เราทุกคนผิดหวังกันมาก แต่ก็ขำกันนะ ชวนกันถ่ายรูปแก้เซ็งแล้วก็กลับ
ขากลับไปลงที่สถานี South Bank ไปหากินกาแฟบริเวณสวนสาธารณะ ที่นี่พบเด็กไทยขายของที่ร้าน Subway เขาทักเราก่อนนะ ดีใจมากที่พบคนไทยที่ต้อนรับคนไทยด้วยกัน ไม่เหมือนหลายที่ ที่ไม่อยากเจอคนไทยอย่างกลุ่มเรา
ช่วงนี้ที่ South Bank เขามีงานวันวิสาขบูชา ช่วงระหว่างวันที่ 2-3 พฤษภาคม พวกเราไปได้จังหวะพอดี จัดในโดมขนาดใหญ่ มีการห้อยเต็งลั้ง (โคมไฟจีน) ตลอดแนว รอบๆโดม ภายในมีพระพุทธรูปขนาดใหญ่ 3 องค์ ขวามือของพระพุทธรูปเป็นรูปปั้นกวนอู ซ้ายมือเป็นรูปปั้น…..เอ..ไม่รู้ว่าเป็นใครนะ มีรูปปั้นพระพุทธเจ้าตอนแรกประสูติเอานิ้วชี้ขึ้นฟ้า อีก 3 องค์ มีดอกไม้ เทียนที่อยู่ในแก้วเล็กๆจุดบูชามากมาย รู้สึกว่าเขาจะให้ซื้อไปไหว้บูชา
ด้านนอกมีรูปปั้นพระสังกัจจายน์ เจ้าแม่กวนอิมและพระถังซำจั๋ง มีแท่นกราบไหว้บูชาทั้งสามที่
ตอนที่เราไปถ่ายรูป และถอดรองเท้าเพื่อกราบพระ พวกคนจีนที่จัดงานมองกันใหญ่คงงงที่ไม่เคยเห็นใครกราบพระแบบเรามั้ง ก็คนไทยนี่หว่า
ก่อนลงเรือชมสองฝั่งแม่น้ำยามค่ำ น้องปูบอกว่านัดเพื่อนร่วมห้องชาวสวิสไว้แถวนี้ สักครู่ก็พบเธอและเรือมาพอดีเลยชวนกันลงเรือ
ไปยืนกันที่ด้านหน้าเรือถ่ายรูปกันไปเรื่อยๆ แต่คิดว่าไม่น่าจะได้ดีเพราะมันมืด แฟลชไปไม่ถึง เราตั้งกล้องที่การถ่ายภาพตอนกลางคืนปิดแฟลช กลั้นใจกดชัตเตอร์ก็แล้ว มันก็ไม่ชัด เลยต้องเลยตามเลยได้แค่ไหนแค่นั้น
ขากลับน้องปู น้องเอ็ม น้องนา และเพื่อนชาวสวิสกลับกันก่อน เราสามคนขึ้นเรือที่ North Quay (ตัวหลังอ่านเหมือนคำว่า Key แปลว่าท่าเรือ) เดินเข้าไปใน Queen Street Mall ที่นี่ยังคงสว่างไปด้วยแสงสียามค่ำ เข้าไปในห้าง Myer ไปหาอะไรกินกันที่ศูนย์อาหาร ที่นี่เราได้ บะหมี่ญี่ปุ่น Chicken Ramen ราคา 6.20 ดอล อยากบอกว่าไก่เนื้อนุ่มมาก ถ้าได้เครื่องปรุงแบบไทยๆจะอร่อยกว่านี้เยอะ
ขากลับบริเวณลานลูกบอลยักษ์ มีการเปิดเพลงสอนเต้นรำกัน คนไปเต้นกันเยอะพอสมควร สักครู่พอสอนจบ ดีเจ ก็เปิดเพลงสไตล์บราซิล มีคนจับคู่ออกไปเต้นรำกัน 6-7 คู่ เราถ่ายรูปกับดีเจ แล้วลองถ่ายคลิปวิดิโอบ้าง
ระหว่างทางที่กลับบนรถสาย 140 พบคุณแม่ลูก 2 ชาวไทย เธอพาลูกมาเรียนที่นี่ช่วงปิดเทอม เธอเคยเรียนปริญญาโทที่นี่ สามีสอนที่เทคโนพระนครเหนือ ลูกคนโตเรียนที่ราชวินิต คนเล็กอยู่ป.1 โครงการ 2 ภาษาที่ราชวินิตเช่นเดียวกัน คนเล็กมาเรียนที่ Calamvale ค่าใช้จ่ายเฉพาะค่าเรียนก็สัปดาห์ละ 250 ดอล คนโตไม่รู้ เธอมาเช่าบ้านที่นี่ เธอบอกว่ามาเองค่าใช้จ่ายจะถูกกว่ามาทางเอเจนซี่เยอะ สรุปว่ามาเรียน 2 เดือน ค่าใช้จ่ายเฉพาะค่าเล่าเรียนแค่ 2,000 ดอล ประมาณ 60,000 บาท อยู่บ้านเช่า ทำอาหารกินกันเอง ก็คงหมดไม่เท่าไหร่นะ เด็กไทยที่มาเรียนที่ EF กัน หมดคนละ 122,000 บาท แค่เดือนเดียวเอง
คนก็แก่ เดินก็ไกล เป้ก็หนัก กว่าจะถึง Homestay บ่าระบมไปหมด ไปถึงทำได้แค่หารูปเข้าโฟลเดอร์ของอาดุลย์ อานนท์ น้องไหว และไร้ท์แผ่นให้น้องไหวกับก๊อปไฟล์ให้อาดุลย์ ทำได้แค่นั้นเองง่วงจริงๆ ก็ห้าทุ่มครึ่งแล้วนะ

--------------------------------------------------------------------

 





Flying to Brisbane 26


Going to Brisbane.
1 ..2551
          เมื่อคืนนอนหลับอุ่นสบายเพราะโรบินเอาผ้าห่มมาเพิ่มให้อีก 1 ผืน นอนบนโซฟาก็ดีไปอย่าง ไม่ต้องกังวลว่าจะไปรบกaวนใคร
          อากาศหนาวมาก (12 องศา) เลยถือโอกาสไม่อาบน้ำ ออกจากบ้านพร้อมขนมปังทาแยม 2 แผ่นตอน 6:30 วันนี้ตั้งใจว่าจะเดินไปขึ้นรถ 560 ที่อาดุลย์กับอานนท์นั่งประจำ ระหว่างทางก็ถ่ายรูปตู้รับจดหมายแปลกๆหน้าบ้านข้างทาง และป้ายจราจรแถวหน้าโรงเรียน
          อากาศเย็นจนต้องเอามือล้วงกระเป๋าเพื่อคลายอาการปวดกระดูก รถมาตามเวลา พอขึ้นรถก็เจอ 2 สหายเช่นเดิม
          ที่วันนี้ต้องมาขึ้นรถที่นี่เพราะต้องไปถึงโรงเรียนก่อน 8:20 . วันนี้มีรายการไปศึกษาดูงานที่ St. Stephen’s Collage ที่ Gold Coast รถสายนี้ไปทางตรงไม่อ้อมเหมือนสาย 542 ที่เรานั่งประจำ ลองจับเวลาดูไปถึง Browns Plains ใช้เวลาแค่ 10 นาที ไวกว่าประมาณ 8 นาที
          จาก Browns Plains อานนท์ชวนนั่งสาย 540 เพราะเป็นรถสายด่วนทางไกล มีแค่ชั่วโมงละคันเท่านั้น คนไม่ค่อยนิยม ใช้เวลาเร็วกว่าปกติ แค่ 7:55 ก็ถึง Cultural Centre แล้ว เดินไปโรงเรียนสบายๆ ไปถึงแค่ 8:05 วันนี้แปลกอยู่อย่างที่สาวๆพากันถ่ายรูปหน้าโรงเรียน เราเลยต้องขอแจมด้วยคน
          ขึ้นรถที่ Kate หามาประมาณ 8:25 . ไปถึง St. Stephen’s Collage ประมาณ 9:20 จากนั้น Sam สาวใหญ่ผู้ช่วยอาจารย์ใหญ่ก็มาแนะนำโรงเรียนให้ทราบและพาไปเดินดูรอบๆบริเวณโรงเรียน
           โรงเรียนนี้เป็นโรงเรียนเอกชนที่เปิดสอนตั้งแต่ชั้นเด็กเล็กไปจนถึงเกรด 12 และยังมีการสอนภาษาอังกฤษแบบ intensive English สำหรับนักเรียนต่างชาติตั้งแต่ไม่รู้เรื่องไปจนถึงใช้ภาษาอังกฤษได้ดี เท่าที่เห็นในวันนี้ส่วนมากจะเป็นชาวญี่ปุ่นกับเกาหลี
          นอกจากนี้ยังมีการสอน Dancing และ Music โดยจะมีอาคารแยกต่างหาก รายละเอียดนอกเหนือจากนี้ไม่ทราบเพราะ Sam ไม่ได้พาไปดู
          อาคารเรียนจะเป็นแบบ 2 ชั้น หรือแค่ชั้นเดียว แต่ละห้องเรียนจะมีนักเรียนไม่มาก ประมาณ 22 คนต่อห้อง และทุกห้องจะเชื่อมกับห้องคอมพิวเตอร์แบบ 2 ต่อ 1 ส่วนห้องเด็กเล็กก็จะมีประมาณห้องะ 4 เครื่อง
          ภายในอาคารห้องสมุดจะมีบู๊ทสำหรับนั่งทำงานส่วนตัว และมีที่สำหรับอ่านหนังสือ แต่ที่ขาดไม่ได้คือเครื่องคอมพิวเตอร์สำหรับให้เด็กได้ค้นคว้า
          ที่ชอบใจมากคือเครื่องเล่นสนามจะมีหลายสถานีอยู่ในชุดเดียวกัน และพื้นจะปูด้วยยางเหมือนกับยางปูลู่วิ่งในสนามกีฬา และมีผ้าใบขึงกันแดด
          เด็กเล็กจะมีเครื่องเล่นและอุปกรณ์การเรียน การเล่น เกมต่างๆมากมาย ในแต่ละห้องจะมีห้องเล็กสำหรับเก็บอุปกรณ์การเรียนการสอน ห้องน้ำสำหรับเด็ก อ่างล้างมือ ชั้นเก็บของสำหรับเก็บอุปกรณ์ของเด็ก และแยกสัดส่วนสำหรับการจัดกิจกรรมแต่ละอย่าง ยอมรับว่าอุปกรณ์การเรียนการสอนของโรงเรียนเราในแต่ละห้องมีไม่ถึง 1 ใน 10 ที่เขามี เราคงต้องทุ่มงบประมาณในส่วนนี้อีกเยอะ
          ธรรมชาติเป็นสิ่งที่เขาหวงแหน มีป่า(คล้ายๆกับป่าโกงกางในบ้านเรา)อยู่ติดด้านหลังโรงเรียนและมีสระน้ำเพื่อแยกส่วนระหว่างโรงเรียนกับสนามกีฬา ถ้าเข้าไปในสนามบ๊าสเราคงงงเพราะตีเส้นสนามต่างๆไว้มากมายแยกเป็นสีต่างๆ จนไม่รู้ว่าสนามไหนเป็นสนามอะไร
          ก่อนกลับมีการมอบของที่ระลึกถ่ายรูปร่วมกันและทางโรงเรียนแจกเอกสารประกอบ CD ROM เพราะเขาคงรู้ปัญหาของพวกเรา เลยไม่อยากให้พวกเราต้องขนของหนักๆกลับบ้าน แค่ CD แผ่นเดียวก็บรรจุไว้หมดแล้ว
          กลับไปถึงโรงเรียน 11:45 อาดุลย์กับน้องไหวต้องรีบไปทานข้าวแล้วไปละหมาด เลยไม่ได้ไปกินข้าวร้านมาเลย์ ตกลงกันไว้ว่าพรุ่งนี้ถึงจะไป วันนี้เรา อานนท์กับสาวๆประมาณ 7 คนเลยไปทานข้าวกันที่ร้านเวียตนามเจ้าเก่า
          12:30 เข้าห้อง Ilab ก่อนอื่นเรามอบของที่ระลึกให้ Joleene น้องๆอีก 4-5 คนก็ให้ตาม สักครู่ Joleene ให้ไปรวมกันที่ห้อง Ilab 2 ที่อยู่ติดกัน แจกผลการวิจารณ์การสอนให้ทุกคนยกเว้นเรา เพราะเราไม่ได้ออกไปสอนในวิชาของเธอ เราออกไปในวิชาของ Lindy เท่านั้น จากนั้น Joleene ก็มอบของที่ระลึกเป็นหมีโคอาล่าหนีบช้อกโกแล็ตให้ทุกคน ตอนหลังของเหลืออีก 1 ชิ้นจึงมอบให้เราให้นำไปให้แฟนที่บ้าน
          วันนี้ Joleene สอนการใช้ Internet โดยให้เข้าเว็บต่างๆ และได้แจกชี้ทเกี่ยวกับเว็บที่น่าสนใจมากมาย เราก็ลองดูบางเว็บ อืมมม …. ใช้ได้ดีทีเดียว และตอนนี้เองที่แอบเปิดอีเมล ก็ได้รับอีเมลของเปี๊ยกนะ แต่ไม่ได้ส่งกลับเพราะไม่มีไฟล์ข้อมูล และคีย์บอร์ดก็ไม่มีภาษาไทย
          ตอนเลิกไปส่งงาน Power Point ที่โต๊ะทำงานของ Joleene ออกมานัดกับปูและเพื่อนๆว่าพรุ่งนี้จะไปไหนกันหลังเลิกเรียน แล้วอาดุลย์กับน้องไหวก็ชวนไป Queen Street Mall อีกครั้งเพื่อไป Shopping กันครั้งสุดท้าย
          ที่ร้าน Duty Free ร้านเก่า เราซื้อ Pencil Case เพิ่มอีก 3 ใบ อาดุลย์กับน้องไหวก็ซื้ออีกคนละ 6 อัน แล้วก็เข้าร้านนี้ ออกร้านโน้นกันไปเรื่อยๆ สุดท้ายเราได้เสื้อให้จี๊ปอีก 1 ตัว 10 ดอล นาฬิกาให้คุณแม่ ให้โต และสำหรับบ้านเรา ถึงตอนนี้ต้องขอเล่ารายละเอียดสักนิด
          เราเอานาฬิกาไปให้พนักงานตั้งเวลาให้ ตามเวลาในเมืองไทย เพราะต้องการเช็คความสมบูรณ์ของเครื่องโดยที่เราไม่ต้องทำเอง ผลปรากฏว่า 2 เรือนแรกผ่านไปได้ด้วยดี แต่พอเครื่องที่ 3 เม็ดมะยมหลุด เอาเครื่องใหม่มาพอตั้งเวลาเสร็จ เราดู มันไม่เดินนะ เลยต้องเปลี่ยนอีกเครื่องจึงใช้การได้ และเครื่องของน้องไหวอีกเครื่องก็ใช้ได้ เลยเล่าเทคนิคนี้ให้อาดุลย์กับน้องไหวฟัง
          ร้านสุดท้ายเราขอยืมตังค์น้องไหว 10 ดอล ไปซื้อเป้ให้ฟริเกตกับคีน พรุ่งนี้คงต้องไปแลกตังค์ใช้หนี้น้องไหว
          กลับถึงบ้าน 6:50 โดยประมาณ ที่ถึงบ้านไวเพราะกลับรถสาย 560 กับอาดุลย์ แล้วเดินเข้าบ้านถึงแม้จะไกลหน่อยก็ตาม
          ทานข้าวเสร็จก็ถ่ายรูปกับราฟาเอลและไมเคิ่ล แต่โรบินเธอไม่ยอมให้ถ่ายรูปแต่บอกว่าก่อนเรากลับเธอจะให้รูปเรา
          อีกไม่กี่ชั่วโมงจะได้กลับเมืองไทยแล้ว แต่ก่อนกลับพรุ่งนี้จะขอเที่ยวให้ชื่นใจก่อนปูบอกว่าท้ายสุดจะนั่งเรือดูแสงสี 2 ฝั่งริมน้ำและไฟบนสะพานต่างๆ คงกลับประมาณทุ่มครึ่ง ไม่มีปัญหา เรานัดกับอานนท์และอาดุลย์ไว้แล้วเตรียมตัวเดินกลับกันได้เลย

------------------------------------------------------------------------