เทคนิคการหลอกเด็ก 6 (หลอกให้งง)
การทำงานในทุกวันนี้สำหรับผม
ถือได้ว่าเป็นสิ่งที่ต้องใช้ความคิดทุกวัน ในชั่วโมงแรกๆของทุกวันมักจะว่าง
เพราะส่วนใหญ่จะเป็นวิชาภาษาไทยหรือไม่ก็คณิตศาสตร์ซึ่งทั้งสองวิชานี้ครูประจำชั้นจะเป็นผู้สอน
ตอนเช้าๆสมองมักจะปลอดโปร่ง
ไม่ค่อยมีอะไรมารบกวนใจ จะคิดจะทำอะไรมักจะลื่นไหลตลอด
หลังจากเสร็จกิจกรรมหน้าเสาธง
ผมจะไปประจำอยู่ที่โต๊ะทำงาน เปิดคอมพ์ เช็คอีเมล เปิดเฟซบุ๊คสักครู่
แล้วก็เข้าโฟลเดอร์หาไฟล์ Powerpoint เก่าที่สอนไปครั้งที่แล้ว และที่จะใช้สอนในสัปดาห์นี้
เช็คดูแต่ละกรอบว่าเนื้อหามีอะไรผิดพลาดบ้าง ตัวสะกด การันต์ คำศัพท์ถูกต้องไหม
การดำเนินเนื้อหาสะดุดไหม เนื้อหามากไปหรือน้อยไปไหม คำอธิบายเหมาะสมไหม
สมควรที่จะปรับเปลี่ยนอะไรไหม เหล่านี้เป็นต้น
เมื่อเดือนที่แล้วผมสอนหน่วยที่
3 เรื่อง At School ซึ่งในหน่วยนี้จะพูดถึงเรื่องห้องและสถานที่ต่างๆในโรงเรียน
ในขณะเดียวกันก็จะมีเนื้อหาให้เด็กอ่าน และฟังเสียงจากแผ่น CD ประกอบ ผมเช็คเนื้อหาที่จะสอนไปทีละกรอบ และในกรอบ Powerpoint กรอบหนึ่งผมได้พิมพ์เนื้อหาเพื่อให้เด็กฟังจากแผ่น CD และฝึกเด็กอ่านด้วย
และแล้ว.........ความคิดหนึ่งก็เข้ามาในสมองเหี่ยวๆของผม
ผมรีบจัดการตกแต่ง แก้ไข เพิ่มเติม กรอบ Powerpoint
นั้นทันที ท่านผู้อ่านลองดูความเพี้ยนของผมนะ
ผมฉายภาพขึ้นจอให้เด็กๆอ่านทีละประโยค เด็กก็อ่านไปเรื่อยๆ แต่พอจบประโยคสุดท้าย เด็กชายคนหนึ่งก็พูดขึ้นว่า “ครูครับ ผมงงครับ”
“คุณงงอะไร”
ผมพูดยิ้มๆเพราะผมดีใจที่ผมทดสอบเด็ก แล้วเด็กคนนี้ผ่านการทดสอบ
“ก็ประโยคนี้บอกว่า
She doesn’t like math. แต่รูปมันเป็นวิชาดนตรีนี่ครับ”
เด็กคนอื่นๆเริ่มพิจารณาประโยคนี้กับรูปภาพ
“ประโยคนี้ประโยคเดียวหรือครับ”
ผมแกล้งถามเพื่อทดสอบการสังเกตและความเข้าใจในการอ่านของเด็ก เด็กคนอื่นๆต่างแย่งกันพูดขึ้นว่า
“ไม่ครับ/ค่ะ มีประโยคอื่นด้วย” แสดงว่าเด็กหลายคนก็สังเกตเห็น
แต่ไม่กล้าพูด
“งั้น
เดี๋ยวผมให้คุณอ่านอีกรอบนะ”
พอฉายรอบ 2
แต่ละประโยคที่ขึ้นมากับภาพประกอบ เด็กๆรีบบอกว่า เนื้อเรื่องผิดจากรูป บางคนบอกให้เปลี่ยนเนื้อเรื่องบ้าง
บางคนก็บอกให้เปลี่ยนรูป
ผมกดปุ่มให้ประโยคที่
2 ขึ้นมาพร้อมทั้งภาพประกอบ (She is reading an English book. แต่รูปภาพเป็นรูปคนนอนหลับกับกองหนังสือ) ผมถามว่าจะเปลี่ยนคำหรือรูปภาพ
บางคนบอกเปลี่ยนคำเป็น sleeping บางคนบอกเปลี่ยนรูป
ผมบอกว่า “ถ้าคุณเปลี่ยนคำในประโยคก็ต้องเปลี่ยนทุกประโยค
ถ้าคุณเปลี่ยนรูปก็ต้องเปลี่ยนทุกรูป เพราะเนื้อเรื่องจะสัมพันธ์กัน”
“สมมติว่า”
ผมพูดต่อ “ในประโยคแรก” ผมกดปุ่มย้อนไปที่ประโยคแรก “ถ้าคุณเปลี่ยนคำเป็น Pim is
in the toilet. แต่พอประโยคที่ 2 คุณบอกว่าเปลี่ยนคำเป็น She
is sleeping. แสดงว่า คุณพิมพ์ ชอบไปนอนในห้องน้ำหรือครับ”
เท่านั้นแหละ เด็กๆหัวเราะกันใหญ่แล้วตะโกนตอบว่า ให้เปลี่ยนรูป
ผมฉายภาพซ้ำอีก
1 รอบ เด็กอ่านประโยค บอกความหมายแล้วก็บอกให้เปลี่ยนรูปว่าจะต้องเป็นรูปอะไร
ผมใช้เทคนิคนี้กับอีก
4 ห้องที่เหลือ ผลก็ออกมาเป็นแบบเดียวกัน
แต่เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว
ผมให้ห้อง 3/1 ซึ่งเป็นเด็กนักเรียนในโครงการ 2 ภาษา ให้มาเรียนกับผมบ้าง
ผมก็ใช้บทเรียนนี้สอนเด็กเช่นเดิม แต่ที่ต่างไปจากห้องอื่นๆคือ
เพียงแค่ประโยคแรกขึ้นเท่านั้น น้องโบนัส
คนเก่งประจำห้องก็โวยวายทันทีว่ารูปภาพผิดไปจากประโยคที่อ่าน
ต้องเปลี่ยนรูปเป็นห้องสมุด เด็กคนอื่นๆก็รับกันเซ็งแซ่ไปหมด
บางครั้งการที่ครูจะทดสอบเด็กว่าเข้าใจเรื่องที่อ่านไหม
ไม่ใช่แค่เพียงถามคำถามจากเรื่องที่อ่าน หรือให้วาดรูปจากเรื่องที่อ่านเท่านั้น
วิธีนี้ก็เป็นวิธีทดสอบนิ่มๆด้วยเช่นกัน ใช่ไหมครับ
-------------------------------------------------------------------------------------------------------------
จบตอนนี้แล้ว
เทคนิคการหลอกเด็กชักจะหมดไส้หมดพุงแล้ว คงต้องขอเวลาไปรำลึกอดีต
และคิดหาวิธีการใหม่ๆบ้าง ช่วงนี้ถ้าหายไปนานก็อย่าว่ากันนะครับ.....ขอบคุณครับที่ติดตามอ่านมาโดยตลอด
-------------------------------------------------------------------------------------------------------------
27 สิงหาคม 2555