วันพฤหัสบดีที่ 17 พฤศจิกายน พ.ศ. 2559

Flying to Brisbane 7



Going to Brisbane.
12 เม.. 2551
          เมื่อคืนลืมตั้งนาฬิกาปลุก แต่ก็ตื่นทันนะ ตื่นเวลา 6:20 ออกมาชงกาแฟกิน แล้วนั่งคุยกับโรบิน สักครู่ราฟาเอลก็ออกมา เลยนั่งคุยกันไป ราฟาเอลถามเรื่องเวลาเดินรถกับโรบิน เราจึงนึกขึ้นได้ว่า วันเสาร์-อาทิตย์ ตารางเวลาเดินรถจะไม่เหมือนกับวันธรรมดา เลยรีบไปหยิบตารางเวลาเดินรถมาดู เที่ยวแรกมาถึงแถวบ้านเรา 7:41 ถ้าไปช้าต้องรออีกครึ่งชั่วโมง ตัดสินใจไปอาบน้ำแต่งตัวดีกว่า
          อาบน้ำแต่งตัวออกมา เอาเสื้อผ้าที่จะให้โรบินซักออกมาด้วย เธอให้นำไปห้องด้านข้างครัวที่ปิดไว้ เอาใส่ตะกร้าแล้วส่งตังค์ให้เธอ 10 ดอล
          ออกจากบ้านเห็นรถบรรทุกคันหนึ่งที่มีแต่ด้านหัวรถจอดอยู่ เลยถ่ายรูปไว้ แต่พอดูรูป ใจหายวาบเลยเพราะกล้องเริ่มเพี้ยนอีกแล้ว สีขาวๆ สว่างๆ จะเบลอๆ สีจะออกน้ำตาลๆ สงสัยคงต้องซื้อกล้องที่นี่ใหม่แล้วมั้ง ราคาอย่างต่ำก็ 6,000 นะ แล้วเราจะได้ iPhone ไหมนะ
          รถมาถึงตอน 7:45 ระหว่างทางสังเกตอะไรๆไปตามเรื่อง สิ่งที่เห็นในวันนี้คือ บ้านทุกหลังจะปิดกั้นบริเวณของตนด้วยรั้วไม้ ถ้าด้านหน้าเป็นตัวบ้าน ประตูบ้าน ด้านข้างๆที่ต่อจากบ้านทั้งซ้ายและขวาจะปิดกั้นด้วยรั้วไม้ตลอด เหมือนบ้านของโรบินที่เราอยู่นอกจากด้านหน้าที่เป็นบ้าน ที่เหลือเป็นรั้วไม้หมด
          พูดถึงตรงนี้อดเล่าต่ออีกหน่อยไม่ได้ว่า หลังบ้านโรบินเป็นป่าเล็กๆ มีไม้ใหญ่ขึ้นเยอะ ทุกเช้าจะได้ยินเสียงนกร้องตลอดเวลา เพลินดีมาก คนที่นี่เขารักธรรมชาติ เขาจะไม่ยอมทำอันตรายนกเลย เคยเล่าให้โรบินฟังว่า ถ้าเป็นที่เมืองไทย ป่านนี้โดนจับไปขายหมดแล้ว
          เข้าเรื่องต่อนะ ที่บ้านเราร้าน 7-11 จะมีชื่อมาก แต่ที่นี่เป็นเพียงร้านธรรมดาๆเท่านั้น มีร้านแบบนี้อยู่ทั่วไป แต่ที่แปลกใจคือ ที่นี่มีปั๊มน้ำมัน 7-11 ด้วยนะ โลโก้แบบเดียวกันเลย และที่ปั๊ม 7-11 ก็มีร้าน 7-11 อยู่ข้างในด้วย
          รถไปถึง Browns Plains ประมาณ 8:00 .แต่ไม่ต้องยืนตรงเคารพธงชาติ รอเวลารถสาย 140 เข้าป้าย แต่ในตารางเดินรถบอกว่า สาย 140 ออกตอน 7:57 แต่เท่านี้สังเกต รถสาย 140 จะต้องรอรถ 542 มาจอดก่อนนี่นา คิดว่าเดี๋ยวคงมา สาย150 มาถึงก็ไม่ขึ้น กลัวจะใช้เวลานานรอ 140 ดีกว่า สักพักใหญ่ๆ 150 มาอีก ก็ทำหยิ่งไม่ขึ้น แต่ใจก็กังวลนะ กลัวว่าจะไปไม่ทันเวลาที่นัดกันไว้
          กว่าสาย 140 จะมาก็ปาไป 8:33 . กว่าจะออกก็ 8:35 . ไปช้าแน่นอน กังวลว่าถ้าไปถึงแล้วเพื่อนๆไปกันหมดแล้วจะทำอย่างไร ตัดสินใจได้เลย ไปเองก็ได้วะ จากเมืองไทยยังมาบริสเบนได้ แล้วทำไม โลนไพน์ แค่นี้จะไปไม่ได้ พอเลิกกังวล ตาก็สังเกตข้างทางต่อไป
          บริเวณถนน Waller Road จะมีสนามกีฬาอยู่หลายสนาม ตัดหญ้าอย่างเรียบร้อนสวยงาม วันนี้วันเสาร์ สนามหนึ่งมีวัยรุ่นเล่นกีฬากัน มองไม่ทันว่าเล่นกีฬาอะไร อีกสนามหนึ่งพวกผู้ใหญ่พาเด็กๆไปเล่นกัน คล้ายๆกับเกมหาไข่ในวันอีสเตอร์ ที่สนามนี้มีลานจอดรถให้ด้วย
          อีกที่หนึ่งแปลกกว่าเพื่อนคือ เขาจะทำสนามไว้สำหรับนักซิ่งโรลเล่อร์สเก๊ต หรือ  สเก๊ตบอร์ด แต่เห็นบางคนเอาสเก๊ตที่มีมือจับมาเล่นด้วย นับว่ารัฐให้ความสำคัญกับกีฬามากเช่นกัน ไม่ทราบว่าวันอื่นๆจะมีคนมาใช้สนามมากน้อยแค่ไหน
          ไปถึง Cultural Centre 9:10 .เลยเวลาไป 10 นาที พอลงจากรถเห็นเพื่อนๆรออยู่เต็มไปหมด สมพรแซวว่ามาช้าไป 10 นาที ต้องขอโทษเพื่อนๆกันยกใหญ่ แล้วเล่าปัญหาให้ฟัง ทุกคนก็เข้าใจนะ
          ไปขึ้นรถฝั่งตรงข้าม โชคดีที่รถว่างพวกเราเลยขึ้นไปได้หมด ไม่มีใครโดนถีบตกรถ รถวิ่งไปตามถนนที่เราไปสำรวจวันก่อน ข้ามสะพาน William Jolly เลี้ยวซ้ายลอดใต้สะพานรถไฟออกไปเรื่อยๆ ยิ่งออกไปนอกเมือง ก็ยิ่งจะเป็นป่า มีไม้ใหญ่โดยทั่วไป
          บริเวณแถบนี้จะเป็นเนินเขา บ้านที่อยู่ด้านซ้ายจะอยู่ต่ำลงไปจากถนน มองเห็นเป็นระดับๆลดหลั่นกันไป สมมติว่าถ้ารถคันใดตกถนน สงสัยมีบ้านพังกันเป็นแถบๆแน่
          แถวนี้ก็มีร้าน Subway กับ ห้าง K-mart นะ สงสัยร้านพวกนี้จะมีสาขาเยอะ เพราะร้าน Subway แถวโรงเรียนก็มี แถว The Queen City Mall ก็มี และแถว Browns Plains ห้าง K-mart ก็มี
          สิ่งหนึ่งที่คิดได้คือร้าน 7-11 ในเมืองไทย พยายามคุมกำเนิดไม่ให้ร้านอื่นๆประเภทเดียวกันได้ผุดได้เกิด ตัวเองจะได้ครองตลาดแต่เพียงผู้เดียว แต่ที่นี่คงทำไม่สำเร็จ
          ลืมดูเวลาว่าไปถึง Lone Pine ตอนกี่โมง เพราะรีบไปเข้าห้องน้ำ ออกมาก็ตามพรรคพวกไปซื้อตั๋ว สรุปได้ว่าใช้ตั๋วนักเรียน EF นักเรียนโข่งได้ลดราคาส่วนหนึ่ง พอเข้าเป็นกลุ่มใหญ่เลยได้ลดราคาอีก จากผู้ใหญ่ 22 ดอล นักเรียนอายุไม่เกิน 13 พร้อมบัตร 17 ดอล นักเรียนที่อายุมากกว่านั้นพร้อมบัตร 19 ดอล พวกเราเสียค่าบัตรคนละ 17 ดอลเท่าเด็กอายุ 13 แหม ถ้าลดอายุได้จริงก็ดี
          ก่อนตีตั๋วเข้าไปก็ถ่ายรูปป้ายต่างๆ พอจะถ่ายรูปให้น้องแอน กล้องที่ใส่ในซองเผอิญหล่น ใจหายวาบเลย ถ่ายรูปเสร็จเอากล้องออกมาเปิดดู ยังทำงานได้นะ แต่พอถ่ายรูปอื่นๆออกมา โอ้โฮ….กล้องหายเพี้ยนแล้ว เป็นงงมากๆเลย
          Lone Pine เป็นสวนสัตว์ย่อยๆมีสัตว์ไม่กี่อย่าง แต่ที่นักท่องเที่ยวอยากมาเพราะที่นี่เป็นแหล่งที่มีหมีโคอาล่ามากที่สุดในโลก และอยากไปสัมผัสกับจิงโจ้ เท่านั้น เข้าไปสิ่งแรกที่เจอคือกรงค้างคาว กำลังหลับสบายแบบไม่กลัวเลือดตกหัวเลย ห้อยหัวลงมาอย่างสบายอารมณ์
          ถัดมาเป็นกรงนกคล้ายๆนกกระตั้วนะ เดินต่อไปอีกหน่อย เป็นคอกสูงประมาณ 1 เมตรกั้นไว้เป็นระยะๆ ดารานำของ Lone Pine กำลังหลับกันอย่างสบายโดยไม่สนใจแสงแฟลชที่วูบวาบตลอดเวลา เหมือนเราไม่มีผิดเลย ถ้าหลับแล้วอย่ามากวนนะ
          เทคนิคการหาเงินของที่นี่คือ เชิญชวนนักท่องเที่ยวถ่ายรูปกับหมีโคอาล่า โดยเขาจะให้เราอุ้มกับอก แล้วถ่ายรูปให้ ราคาเบาๆ อย่างถูกที่สุดคือ 15 ดอล 450 บาท LLL
          มีกรงเต่า 1 กรง งู 1 กรง นก 2 กรง กิ้งก่า 2 กรง เท่านี้มั้ง แล้วเราก็เข้ากรงมั่งไปสัมผัสพระเอกของที่นี่ดีกว่า ประตูเข้ากรงจะเป็น 2 ชั้น ป้องกันสัตว์หนีออกมาข้างนอก ภายในเป็นลานกว้าง มีเนินสูง ด้านข้างเป็นคอกนกอีมู แล้วเราก็เข้าไปถ่ายรูปกับดาราอย่างใกล้ๆ จิงโจ้ที่นี่เชื่องมาก ไม่กลัวคนเลย แถมเข้าหาอีกต่างหาก ได้ยินใครก็ไม่รู้บอกว่า ถ้าดูแต่หัวนะ เหมือนหมาที่บ้านเลย อืมมม จริงแฮะ
          ลานที่อยู่ติดกันเป็นลานสำหรับการแสดง Sheep dog show แต่ยังไม่ถึงเวลาแสดง จึงเดินดูทั่วๆ ดูม้าแคระ แพะ แกะ (ดูทำไมหว่า) แถมที่ใกล้ๆมีคอกหมูอีก 1 คอกมีหมู 2 ตัว มีป้ายเขียนว่า This animal may bite. เอ….มันมีเขี้ยวไหมวะ ไอ้หมู 2 ตัวนี้
          ที่น่าแปลกใจคือ หมูตัวนึงสีน้ำตาล อีกตัวนึงสีขาว-ดำ ที่บ้านเรามีแต่หมูสีขาว (ใช่ไหมนะ)
          เดินไปหาอะไรกินที่สวนอาหารดีกว่า เฮ้อ…..มีแต่อาหารฝรั่ง คนเข้าแถวต่อกันประมาณ 10 คน น้องปูคนสวยถามว่าจะกินอะไรบอกมา เดี๋ยวจะซื้อไปให้ เราควักให้ 5 ดอล บอกเอาแซนด์วิช (เพราะราคาถูกที่สุด)
          ไปนั่งกินกันในที่ที่เขาเตรียมไว้ให้ แซนด์วิชจืดชืดมากแต่ก็ต้องพยายามกิน เพราะหิว แล้วคุยกันไปเรื่อยๆ ก่อนลุกจากที่ นกยูงตัวหนึ่งเข้ามาเยี่ยมชมภายใน เลยกดซะ 1 รูป ออกมา เห็นน่าหมั่นไส้ เลยกดอีก 1 รูป
          ผ่านมาบริเวณคอกหมีโคอาล่า เห็นมีจอ เจ้าหน้าที่กำลังลองไมโครโฟนและมีคนนั่งบนม้านั่งเต็มไปหมด จึงไปนั่งกับพี่เบิ้ม สักครู่เขาก็ฉายสไลด์ เจ้าหน้าที่ก็อธิบายประวัติของ Lone Pine เรื่องราวของหมีโคอาล่า วิถีชีวิต และความเป็นอยู่ของมัน แทบไม่น่าเชื่อนะว่า ลูกหมีที่เพิ่งเกิดใหม่จะมีขนาดเล็กกว่าเหรียญ 20 เซ็นต์อีก
          จบการบรรยายเขาเชิญชวนให้ไปถ่ายรูปหมีโคอาล่าตัวใหญ่ๆที่เจ้าหน้าที่อุ้มอยู่ เราไม่ได้ถ่ายรูปเพราะคนรอคิวกันยาวมาก และได้เวลาไปดู Sheep dog show จึงไปที่ลานการแสดงอีกครั้ง
          การแสดงเริ่มจากแกะฝูงหนึ่งรวมกันอยู่ในร่มไม้ หมาสีดำก็ไปไล่ต้อนมาโดยวิ่งไปรอบๆ วิ่งไปเห่าไป แล้วนำฝูงแกะมาหาเจ้าของ จากนั้นเจ้าของบอกให้มันพาแกะไปข้ามสะพานแล้วพามาที่กรง ตอนนี้เปลี่ยนเป็นหมาสีน้ำตาลครอบปากมาดำเนินการต่อ มันต้อนฝูงแกะเข้ากรง หลายครั้งที่มันกระโดดขึ้นไปบนหลังแกะแล้วเห่าเพื่อไล่ฝูงแกะ คนดูชอบใจการแสดงชุดนี้มาก ตอนที่เขาให้ถ่ายรูป เราลองเอามือไปจับขนแกะ อืมมมม เหมือนพรมปูพื้นที่บ้านเลยนะ
          เดินออกมาดูของที่ระลึก ชัวร์แพงแน่นอน แพงมากๆด้วย หมีโคอาล่า 12 ตัวแพ็คละ 10 ดอล อะไรกัน ที่ในเมืองขาย 3 แพ็ค 10 ดอลนะจ๊ะ
          ออกมาจับกลุ่มกันภายนอก แลัวตกลงกันว่าพรุ่งนี้จะไปไหนกัน และจะไปกันกี่คน สรุปว่าไป Sunshine Coast ไปกันประมาณ 19 คน แชร์ค่ารถคนละประมาณ 30-35 ดอล แพงนะ คิดว่าไหนๆก็มาถึงนี่แล้ว มันจะแพงหน่อยก็ช่างมัน ไม่งั้นเราคงไม่มีโอกาสมาอีกแล้ว และถ้าเราไม่ไปกับเพื่อนๆ คนอื่นๆคงต้องจ่ายเงินแพงกว่านี้แน่ๆ
          ขากลับไปลงรถกันที่ The Queen City Mall ให้น้องต้อยโทรไป confirm กับเจ้าของรถ แล้วนัดกัน พรุ่งนี้ 9:00 .ที่โรงเรียน
          แล้วชวนกันไปดูของที่ร้านชื่อ Duty Free ไม่ใช่ร้านปลอดภาษีนะ แต่เขาใช้ชื่อนี้เพื่อดึงดูดลูกค้า ของที่ระลึกราคาจะถูกกว่าที่อื่นหน่อย อย่างที่บอกว่า หมีโคอาล่า 12 ตัว ร้านอื่นขาย 3 แพ็ค 10 ดอล แต่ร้านนี้ แพ็คละ 3 ดอล นอกนั้นก็ไม่รู้นะ แต่ที่จ้องไว้ก็พวงกุญแจ หมีโคอาล่า เนคไท ตุ๊กตาจิงโจ้ ครีมหน้าย่น อะไรพวกนี้ แต่ในที่สุดพี่เบิ้มบอกว่าวันหลังมาเอาก็แล้วกัน เราก็วางของลง เผอิญเหลือตังค์แค่ 60 ดอลเอง
          ออกมาดูบูมเมอแรงอีกร้านหนึ่ง ราคาถูกพอควร แต่เป็นคนละอย่างกับในร้าน Duty Free ที่นั่นราคามหาโหดเลยนะ แต่ก็หนัก และสวย เห็นบอกว่าทำโดยชาวบ้านแต่ที่นี่เบากว่า แต่ถ้าคิดว่าเอาไว้โชว์ ไม่ได้เอาไปใช้ ซื้อไปน่าจะดีกว่า
          เดินออกมาพรรคพวกหายกันไปหมดแล้ว ดูเวลาอีก 20 นาที 4 โมง กลับดีกว่า แต่พอผ่านลานลูกบอลยักษ์ เห็นเขาตั้งเวที เครื่องเสียง นักดนตรีแต่งตัวแปลกๆ บ้าๆบอๆ อยากอยู่ดูนะ แต่ก็อยู่ไม่ได้เพราะเดี๋ยวรถหมดจะกลายเป็นลาวตกรถจริงๆ
          ถึงท่ารถน้องไหว น้องนก น้องดา นั่งกันหน้าสลอน สักครู่อาดุลย์เข้ามา มองหาอานนท์ เห็นอานนท์กำลังเดินมาพอดี 4:07 ตรงเวลา รถสาย 140 มาก็พากันขึ้นไป คนแน่นพอควร จะแน่นแค่ไหนก็ยังน้อยกว่าที่ กทม. เยอะนะ
          ถึง Browns Plains 4:50 . อาดุลย์ชวนเดินดูของตามร้านต่างๆ แต่พอเราบอกว่าอยู่ไม่ได้เพราะอีก 10 นาทีเป็นรถเที่ยวสุดท้าย ทั้ง 2 คนเลยขึ้นรถกลับ
          สาย 542 มาตรงเวลา ถึงบ้าน 5:30 ช่วงนี้ลองเช็คระยะทางที่เดินไปขึ้นรถ น่าจะ 600-700 เมตรนะ ไม่ใช่ 400 เมตรแน่
          เข้าบ้านเห็นราฟาเอลคุยกับโรบินเลยไปเข้ากลุ่มด้วย สักพักราฟาเอลคุยว่าเดินไปห้าง Grand Plaza ไปหาซื้อโทรศัพท์มือถือ เลยขอให้เขาเอามาให้ดู สวยนะ แต่แพงมาก 678 ดอล ถ่ายรูปขนาด 5 ล้านพิกเซล เขาบอกที่ซื้อเพราะตรงนี้
          6 โมงตรง โรบินเอาข้าวมาให้กิน วันนี้คล้ายๆน้ำพริกอ่องนะ ใช้ไก่สับ หอมใหญ่ มะเขือเทศ แต่รถออกเปรี้ยวนิดๆ ถ้าหวานหน่อย มีน้ำปลาหน่อยนะ ชัวร์เลย
          วันนี้ราฟาเอลก็กินข้าวเหมือนเรา เขาบอกเขาชอบกินข้าว แล้วก็ไปโม้เรื่องอาหารกับโรบิน สังเกตดูนะ คิดว่าราฟาเอลน่าจะเป็นคุณหนูจากบราซิล เพราะสังเกตจากการใช้เงิน การมีบัตรวีซ่า เอทีเอ็ม อะไรทำนองนี้
          ตอนที่เรากำลังเขียนไดอารี่ ราฟาเอลก็ไปเลือก ดีวีดี ของโรบินมาดู ก็เป็นเรื่องหมัดๆมวยๆนี่เอง ถ้าโดนสักทีสองทีอาจจะเข็ดนะ
          เสื้อผ้าที่ให้โรบินซัก ตอนนี้อยู่ในห้องเรียบร้อย โรบินรีดและพับให้อย่างดี คิดว่าคุ้มค่ากับ 10 ดอลนะ ต่อไปคงต้องประหยัดการใส่เสื้อผ้า อาจจะชุดละ 2-3 ครั้ง เพราะเหงื่อไม่ออก เสื้อผ้าคงไม่สกปรกเท่าไหร่
          พรุ่งนี้ไป Sunshine Coast คงมีรูปสวยๆมาฝากอีกรอดูนะ
----------------------------------------------------------------
  Lone Pine : Koala Sanctuary
 ที่ Lone Pine กับดาราเอก
 sheep dog show


ดนตรีที่ลานบอลยักษ์


ไม่มีความคิดเห็น: