วันพุธที่ 16 พฤศจิกายน พ.ศ. 2559

Flying to Brisbane 2



Going to Brisbane.
7 เม.. 2551
          เมื่อวาน (6 เม..) ตื่นมาตอน 7 โมงกว่าๆ กินกาแฟ แล้วศึกษาเส้นทางการเดินรถ สายตาเหลือบไปเห็นของขวัญที่ให้โรบินเมื่อคืนถูกแกะเรียบร้อยสักครู่โรบินมาคุยด้วยและขอบคุณเรื่องของขวัญที่ให้ เธอบอกว่าถูกใจเธอมาก แล้วเราก็ขอให้โรบินอธิบายการเดินทางไปโรงเรียน เราบอกว่าไม่ค่อยแน่ใจภาษาของตนเอง เธอบอกว่า Be confident.
          9 โมงกว่าๆ ก็ง่วง ขอตัวไปนอน ตื่นมาบ่าย 3 ศึกษาแผนที่ที่ตั้งของโรงเรียนและการเดินรถต่างๆ ทุ่มกว่าๆก็เข้านอน เพลียจริงๆการเดินทางไกลๆนี่
          เอาเรื่องของวันนี้นะ
          โทรศัพท์มือถือส่งเสียงปลุกเวลา 5:50 . รีบลุกขึ้น กะว่าจะรีบไปให้ทันรถเมล์เที่ยว 6:21 . (สาย 542) แต่ลืมกะเวลาเผื่อไว้สำหรับการเข้าห้องน้ำและอาบน้ำ
          หลังจากแต่งตัวเสร็จ ออกมา Say Hello กับ Robyn แล้วจึงชงกาแฟกินกับขนมปังทาแยมสตรอเบอรี่ 2 แผ่น
          ก่อนออกจากบ้านเช็คในกระเป๋ามีผ้าเช็ดตัวผืนเล็กๆ ผ้าพันคอ เสื้อยืดสีดำ Notebook แบบบันทึกการเรียนรู้ เอกสารของสถาบัน EF แผนผังการเดินรถเมล์ กล้องถ่ายรูป และที่ลืมไม่ได้คือน้ำดื่ม 1 ขวด โดยที่ขวดเปล่าได้จากคุณครูยายบริจาคมาให้ แล้วขอน้ำก๊อกจาก Robyn
          เดินไปถึงป้ายรถเมล์ซึ่งห่างประมาณ 700 เมตร เวลา 6:45 . รอสักครู่มีผู้หญิงชาวออสซี่ซึ่งอยู่แถวนั้นเดินมารอรถเช่นกัน ก็กล่าวทักทายกัน บอกเธอว่ามาจากเมืองไทย เพิ่งมาเมื่อวานนี้เอง จะไปเรียนที่ EF ที่ South Brisbane .Melbourne เธอบอกว่าไปทางเดียวกันพอดี จึงขอให้เธอช่วยเวลาต่อรถไป Cultural Centre Station
          สักครู่พอรถมาถึงเธอขึ้นไปก่อน พอเราขึ้นไปโชว์ตั๋วเดือนให้คนขับดู คนขับบอกว่าตั๋วผิดโซน ตั๋วใช้ได้แค่โซน 1-5 เท่านั้น แต่ที่นี่ โซน 6 จึงต้องจ่ายค่ารถไป 2.30 ดอลล่าร์ ก็ประมาณ 70 บาท
          พอรถไปถึง Grand Plaza เธอบอกให้ลง แล้วไปต่อรถสาย 140 ที่จอดรออยู่ พอขึ้นไปบนรถ ก็เจอ 2 สหาย อานนท์กับอาดุลย์นั่งรออยู่ก่อนแล้ว
          ก่อนถึง Cultural Centre Station ผู้หญิงคนนั้นบอกอีก 2 ป้ายถึง เราจึงล้วงมือไปใน Backpack หยิบพวงกุญแจรูปเรือหงส์ส่งให้เธอ 1 อัน เป็นการแสดงความขอบคุณเธอ ที่ช่วยเหลือในวันนี้ ดูเธอประหลาดใจ และดีใจมาก
          เรา 3 คนลงจากรถ ในขณะที่กำลังงงว่าจะไปทางไหนดี อาดุลย์ก็ไปถามทางกับคนแถวนั้น เรามองไปตามทาง เห็นว่าจุดที่เราลงเป็นทางที่จะข้ามสะพานไปอีกฝั่งได้ จึงมั่นใจว่าตรงนี้คือถนนเมลเบิร์น สักครู่อาดุลย์กลับมาบอกว่า เขาก็ไม่รู้ จึงเดินออกมา และไปตามทางที่เรามั่นใจ แล้วเราก็เจอป้ายชื่อถนน ทำให้เรามั่นใจมากขึ้น แล้วบอกกับทุกคนว่า ไปตามสายนี้ โรงเรียนจะอยู่เลขที่ 164 ตรงมุมถนนพอดีแต่จะอยู่ฝั่งโน้น
          เดินไปเรื่อยๆ คอยนับสี่แยก แล้วดูเลขที่ของอาคารต่างๆ แล้วก็พบ EF International Language School เป็นไปอย่างที่เราบอกจริงๆ
          เข้าไปข้างใน เห็นสาวๆมากันเยอะแล้ว ต่างก็ดีใจทักทายกันเสียงดังไปหมด ตอนนี้ก็เจอเด็กนักเรียนไทยเยอะไปหมดเช่นกัน ต่างก็สมัครมาเรียนกับ EF เดือนหนึ่งจบคอร์สค่าใช้จ่ายประมาณ 130,000 บาท อืมมม…..เราคิดไม่ผิดนะที่มาเรียน ไม่งั้นเสียดายโอกาสแน่ๆเลย
          สักพักเจ้าหน้าที่เอาแฟ้มเอกสารมาแจกพร้อมรับเอกสารสำหรับ User Name, Password และ Test code สำหรับการสอบ แล้วเจ้าหน้าที่ถ่ายรูปลงคอมพ์ด้วย
          การเรียนเริ่มจาก Rob เด็กหนุ่มชาวออสซี่พาเดินชมเมืองรอบๆโรงเรียน Rob เป็นคนพูดเสียงลงคอ ฟังยากมาก แต่พูดไปออก Action ไป มันมาก ส่วนมากเราไม่ค่อยได้ฟังเพราะคอยสังเกตทุกๆอย่างในบริเวณนั้น อะไรที่น่าสนใจก็จะถ่ายรูปไว้
          กลับมาถึงเกือบ 10:00 . ต้องขึ้นไปชั้น 3 อีก โอย….. เหนื่อย พอดีหน้าห้องมีตู้ขายน้ำอัดลมกระป๋อง เจอเด็กไทยกลุ่มหนึ่งเลยคว้าเหรียญออกมากำหนึ่ง แล้วให้เด็กซื้อน้ำให้ ที่ให้เด็กทำให้ เพราะเรายังไม่รู้เลยว่าเหรียญที่มีอยู่นั้นเหรียญไหนเป็นเหรียญอะไร งงมาก เด็กๆบอกว่าเหรียญทองเล็กๆ 2 ดอล ใหญ่หน่อย 1 ดอล ใหญ่ที่สุดสีเงิน 20 เซนต์ เอแล้ว 10 เซนต์ล่ะ ยังไม่ทันดูนะ
          ตอนนี้ ตอนที่กำลังเขียน Diary ลองหยิบเหรียญมาดู เหรียญ 1 ดอลมี 3 แบบ (ที่มีอยู่ตอนนั้นนะ) ด้านหน้าทุกเหรียญเป็นรูปราชินีอังกฤษ แต่ด้านหลังไม่เหมือนกัน มีรูปนักบินกับเครื่องบินโบราณ (Sir Charles Kingford Smith) อีกเหรียญหนึ่งเป็นรูปจิงโจ้ 5 ตัว สุดท้ายเป็นรูปผู้หญิง 2 คน Centenary of Women’s suffrage
          เหรียญ 2 ดอล ด้านหลังเป็นรูปตาแก่เครายาว อีกเหรียญเป็นเหรียญเงิน 20 เซนต์ ด้านหลังเป็นรูปทหาร 3 คน World War 1939-1945 Coming Home
          เข้าไปในห้องเรียนหลังสุดต้องนั่งเก้าอี้เสริมด้านหน้า สักครู่พี่คนหนึ่งก็มานั่งใกล้ๆกัน เลยเปิด Coke ให้เธอดื่มก่อนคิดว่าเธอคงหิวน้ำเหมือนกัน
          Kate มาแนะนำครูแต่ละท่านว่าใครสอนอะไรหรือทำงานด้านไหน ใครมีปัญหาอะไร จะต้องติดต่อกับใคร เป็นการปฐมนิเทศและแนะนำบางสิ่งให้กับเรา ในขณะเดียวกันก็อธิบายกฏเกณฑ์ของโรงเรียนให้ทราบ
          จากนั้น Rob ก็มาอธิบายถึงงานที่เขารับผิดชอบ ส่วนมากจะหนักไปทางกิจกรรม ก็เด็ก Rap นี่นา
          มีครูอีกหลายท่านมาพูดคุยเล็กๆน้อยๆ แต่จำไม่ได้ว่าใครเป็นใคร
          สุดท้าย Kate ที่เป็น School Director ก็มาแนะนำสิ่งต่างๆเพิ่มเติม แล้วให้เราไปพักทานอาหารกลางวันกันตอน 11:00 . และให้กลับมาทำการสอบเวลา 12:40 .
          ลงมาด้านล่างกับอานนท์ คอยอาดุลย์สักครู่อาดุลย์กับน้องไหวก็ออกมาเพราะไปถามทางไปร้านอาหารมุสลิมกับเจ้าหน้าที่ เราคิดว่าจะไปเป็นเพื่อนกับมุสลิมทั้ง 2 คน จึงชวนอานนท์ไปด้วย
          เดินกางแผนที่ไป เดินไป หลงไป ในที่สุดอานนท์ก็ชี้ให้ดู          Park เป็นหลัก เดินต่อไปจนเมื่อยขา อานนท์ก็ชี้ให้ดูชื่อถนนที่ขาดหายไปในแผนที่ แล้วลองเดินตามไปก็ไปพบสุเหร่าจริงๆ
          อาดุลย์เข้าไปในสุเหร่าพบคนแก่คนหนึ่ง ถามถึงร้านอาหารอิสลาม ชายแก่คนนั้นก็พาไป แต่ที่มันมากคือตอนจะข้ามถนนที่สี่แยก แกไม่ข้ามทีละด้านแต่เดินตัดเป็นเส้นทะแยงมุมเลย เอาวะ เป็นไงเป็นกัน เดินตามรอยคนแก่หน้าแขกชาวออสซี่ รถไม่ชน ตำรวจไม่จับ ชัวร์
          “ซาลามมาเลกุมเสียงอาดุลย์ทักเจ้าของร้าน แล้วบอกว่าเพิ่งมาจากเมืองไทย มาหาอาหารกิน สรุปเลยว่า เราสั่งข้าวจานเล็ก 1 จานพร้อม Ejjah Omelette 1 จาน 6 ดอล (180 บาทนะ) เคยขำวิเชียรที่เล่าให้ฟังว่า บะหมี่ที่สิงคโปร์ชามละ 180 บาท ตอนนี้เจอเองเลยขำไม่ออก แต่ที่เราโชคดีคือเอาน้ำไปด้วย แต่อีก 3 คน สั่งมา 3 ขวดๆละ 2 ดอล (60 บาท) สบายไปเลย
          คลำทางมาจนถึงร้านขายยา น้องไหวไปซื้อพลาสเตอร์ 1 ชิ้น อิอิอิ 1.80 ดอล ประมาณ 50 บาทนะ แพงชะมัด ก่อนถึงโรงเรียน เข้าร้าน 7-11 ซื้อ Phone Card คนละใบ ใบละ 10 ดอล กะว่าจะเอาไว้โทรกลับเมืองไทย แต่ถึงตอนนี้ยังไม่ได้โทรเลยเพราะเวลากระทันหันมาก กลับมา Homestay ก็ไม่กล้าขอใช้โทรศัพท์ เกรงใจเจ้าของบ้านนะ
          ถึงโรงเรียน พรรคพวกมากันครบแล้วจึงไปห้องน้ำกับอานนท์ พอออกมาหายกันไปหมด ขึ้นไปชั้น 3 ก็ไม่เจอใคร ลงมาชั้นล่างถามเจ้าหน้าที่ถึงรู้ว่าไปห้อง Ilab กันหมดแล้ว เผอิญเจ้าหน้าที่คนหนึ่งจะไปทางนั้นเลยพาเราไป
          ไปถึงเหลือที่ว่าง 1 ที่เลยให้อานนท์ไปสอบก่อน เรานั่งรอจนกว่าจะมีคนสอบเสร็จ
          ในขณะที่รอก็เปิดคอมพ์ แต่ไม่ทันได้ทำอะไรเพราะเห็นว่า Battery เกือบหมดแล้วจึงปิดคอมพ์
          สักครู่ Lindy ก็มาตามให้ไปสอบ เพราะน้องศิสอบเสร็จแล้ว ก่อนที่เธอจะลุกเธอบอกว่าข้อสอบยาก เอ…..จะจริงไหมนะ
          นั่งประจำที่ Lindy ก็มาพิมพ์ Username กับ Password ให้ แล้วให้เราทำข้อสอบ 10 ข้อแรกเป็นข้อสอบการฟัง คิดว่าน่าจะได้สัก 7 ข้อ ส่วนที่ 2 เป็น Grammar 50 ข้อ น่าจะได้สัก 40 ข้อ สุดท้ายการอ่าน 11 ข้อ น่าจะได้สัก 6 ข้อ สรุปแล้วข้อสอบวันนี้น่าจะได้ 53 ข้อ
          สอบเสร็จถาม Lindy ว่าเมื่อไหร่จะรู้ผล เธอบอกว่าวันสุดท้ายของการเรียน โอย…..คอยนานน่าดูเลย
          Lindy บอกเหลือเวลาอีก 20 นาที ให้ไปทำอะไรก็ได้ เราเลยขึ้นไปชั้น 3 ไปรวมกลุ่มกับเพื่อนๆ
          Kate เข้ามาอธิบายถึงหลักสูตรโดยรวมของการมาอบรมครั้งนี้ และ Kate กับ Joleene จัดกิจกรรม Observation โดยให้ทุกคนหลับตา สักครู่พอลืมตาเธอถามว่าเห็นอะไรเปลี่ยนแปลงไปจากเดิมบ้าง
          กิจกรรม Observation ให้จับคู่ Partner เราคู่กับสมพร Joleene ให้เรากับสมพรคิดกันว่าจะสังเกตใคร อย่างไร โดยที่
          สัปดาห์ที่ 1 สังเกต Fraser Ann สอน Toeic Class
          สัปดาห์ที่ 2 สังเกต Elizabeth สอน Teaching, Reading, Vocab
          สัปดาห์ที่ 3 สังเกต Torres Stuart สอน Communication Class
          สัปดาห์ที่ 4 สังเกต Hamilton Lina สอน Communication Class
          ในทุกวันนอกจากเราต้องเขียน Learning Log แล้ว เราต้องเขียน Diary อีก งานเยอะ นะ
          ก่อนเลิก เจ้าหน้าที่จากเมืองไทยเอาตั๋วเดือนมาให้อีก 1 ใบ แต่ที่จ่ายไปแล้วก็เอวัง ตัวใครตัวมัน แต่ไม่มีปัญหา
          ขากลับ เดินกลับไปที่สถานี Cultural Centre อีก แต่ที่นี่ดีนะที่ขึ้นสะพานลอยโดยใช้ลิฟท์ ไม่ค่อยมีใครใช้บันไดกัน ถ่ายรูปกันที่ด้านบนคนละรูปสองรูป แล้วลงไปรออีกด้านเพื่อขึ้นรถกลับ Browns Plains
          ถึง Browns Plains 18:20 . ฟ้าเริ่มมืดแล้ว กำลังกังวลว่าจะกลับได้อย่างไรเพราะจำทางไม่ได้ รถสาย 542 ก็มาถึง ปรากฏว่าคนขับเป็นคนเดียวกับเมื่อเช้า เลยขอให้เขาบอกตอนที่จะลงด้วย
          รถออก 18:40 . ในรถนอกจากคนขับแล้ว มีเด็กหนุ่มอีก 2 คนรวมกับเราเป็น 3 คน พอถึงที่หมายเด็กหนุ่มคนหนึ่งลงรถ คนขับก็บอกให้เราลงด้วย เราลงอย่างงงๆ เพราะจำได้ว่า ฝั่งที่เราจะลงต้องมีตุ๊กตาที่หน้าบ้านหลายตัว แต่นี่มองไม่เห็นเลย เอาวะ เป็นไงเป็นกัน
          เดินตามเด็กหนุ่มไปได้สักครู่ เด็กหนุ่มคนนั้นก็หันมาคุยด้วยจึงรู้ว่าเราพักบ้านเดียวกัน แต่ที่เราไม่ได้พบเขาเพราะเขาเข้าบ้านเมื่อวานตอนที่เราหลับ แล้ววันนี้เราออกบ้านก่อนเขา เขาเป็นชาวเม็กซิโกมาเรียนที่เดียวกับเรา แล้วก็ทำงานไปด้วย สำเนียงของเขาฟังยากสักนิด ต้องตั้งใจฟังให้ดี June เขาจะออกเสียงเป็น ยูน
          โรบินจัดอาหารให้คล้ายกับเมื่อวาน แต่วันนี้เป็นไส้กรอกหมูกับผักต้มเหมือนเดิม วันนี้กินหมดจานนะเพราะบอกให้เธอจัดน้อยๆหน่อย
          โทรศัพท์แบตก็หมด คอมพ์แบตก็หมด เมื่อไหร่จะได้ชาร์จไฟนะ คิดว่าพรุ่งนี้จะได้ชาร์จเพราะน้องคนหนึ่งจะเอาปลั๊กแปลงของออสเตรเลียมาให้ คิดว่าจะชาร์จโทรศัพท์ก่อน


----------------------------------------------------------------------------------------------------

 Ef International Language Shools




 Rob เด็ก Rap พาเดินรอบๆบริเวณโรงเรียน






Lift ที่สถานี Cultural Centre


  บนสะพานลอยที่สถานี Cultural Centre

ไม่มีความคิดเห็น: