วันเสาร์ที่ 19 พฤศจิกายน พ.ศ. 2559

Flying to Brisbane 8



Going to Brisbane.
13 เม.. 2551
          เมื่อคืนเพลียมากถึงอย่างไรก็ตาม วันนี้ก็ตื่นทัน ตัดสินใจแต่งตัวโก๋หน่อย Sunshine Beach เจอเสื้อเขาตะปูหน่อยเป็นไร
          ไปถึงโรงเรียนที่เป็นจุดนัดพบก่อน 9 โมงนิดๆ รอจนคนครบ ก็ขึ้นรถตู้ที่เหมาไว้
          รถตู้คันนี้มีที่นั่งโดยสารด้านขวาแถวละ 2 ที่ ด้านซ้าย 1 ที่ รวมทั้งหมดจะได้ประมาณ 21 ที่ ประตูเป็นประตูไฟฟ้า ไม่ต้องโยกให้เมื่อยมือ
          นั่งรถไปสักครู่ก็เก็บเงินค่ารถกัน เฉลี่ยแล้วคนละ 36 ดอลล่าร์
          รถพาไปทางไหนไม่ทันสังเกต แต่พอเลียบแม่น้ำ เห็นเรือหลายชนิดในแม่น้ำเป็นระยะๆ สวยมากแต่ถ่ายรูปไม่ทัน พอจะข้ามสะพาน ถามคนขับจึงรู้ว่าเป็นสะพาน Story
          พอรถออกนอกเมือง จะเห็นว่า 2 ข้างทางเป็นป่าที่อุดมสมบูรณ์ รัฐบาลและประชาชนที่นี่รักและหวงแหนธรรมชาติมาก
          บางจุดจะมีป้ายไฟฟ้าถาวรเขียนเตือนในทำนองที่ว่า Drink drives may die. อะไรทำนองนี้ ในขณะเดียวกันบางจุดก็จะมีป้ายไฟฟ้าแบบติดรถล้อเลื่อนเตือนเป็นระยะๆเช่นกัน
          คนขับรถจะมีวินัยมาก รถที่เรานั่งไปคนขับจะขับด้วยความเร็วตามที่กฎหมายกำหนด และจะชิดเลนขวา หรือเลนกลางเท่านั้น จะไม่เข้าเลนซ้ายเลย
          บ้านบนเนินเขาจะเห็นได้ทั่วไปเป็นช่วงๆ
          ไปแวะที่ Aussie World ก่อน เพราะที่นี่จะเป็นแหล่งขายของที่ระลึกสำหรับนักท่องเที่ยว เข้าไปในร้าน Australian Souvenirs ของในร้านนี้ทั้งหมดจะทำด้วยไม้ สวยมากทั้งร้าน และบางอย่างก็มีรูปร่างลักษณะแปลกๆ อยากถ่ายรูปนะแต่กลัวเจ้าของเขาจะว่าเลยอด
          ด้านหน้าแต่ละร้านสวยๆทั้งนั้น แต่ไม่มีเวลาเดินเข้าไปดูของเลย เพราะเขาให้เวลาน้อยมาก แต่ก่อนขึ้นรถ เห็นเสาไฟน่าสนใจเลยถ่ายรูปไว้
          เสาไฟนี้เหมือนกับเสาไฟที่บ้านเราสมัย 50 ปีก่อน เพราะทำจากต้นไม้ทังต้น เขาจะใช้ทรัพยากรที่มีอยู่มาใช้ให้เกิดประโยชน์ และเราลองสังเกตดูจาก Aussie World ไป Sunshine Beach เสาไฟฟ้าจะเป็นเสาจากต้นไม้ตลอด
          ระหว่างทางเห็นช้อปเปอร์ไม่กี่คันเอง มีกลุ่มเดียว 3 คันเห็นจะได้ พูดถึงรถมอเตอร์ไซค์แล้ว เชื่อไหมว่ามาอยู่ที่นี่ได้อาทิตย์หนึ่งแล้ว เห็นไม่ถึง 10 คันเลย เคยถามเรื่องนี้กับโรบิน เธอบอกว่าคนไม่นิยม เพราะมันอันตราย ถ้าเป็นเมืองไทยนะ จะเอารุ่นไหนล่ะ ซิ่งกันแหลก เต็มถนนเลย
          ไปถึง Sunshine Beach แล้วผิดหวังนะ ชายหาดยาวมาก แต่มีคนมาเที่ยวไม่กี่สิบคนเอง มีอาบแดดนิดหน่อย เล่นกระดานโต้คลื่น 5-6 คน ไม่มีเตียงให้เช่า ไม่มีร่มชายหาด ไม่มีร้านค้าบนชายหาดเลย ทั้งๆที่เป็นแหล่งท่องเที่ยว กฎหมายเขาคงห้ามเอาไว้
          บนฝั่งถึงจะมีร้านค้า เดินหาของกินกับอาดุลย์และน้องไหว หลงเข้าไปใน Supermarket น้องไหวอยากกินบะหมี่ แต่พอถามคนขายจึงทราบว่าไม่มีบริการน้ำร้อน ทั้ง 2 คนเลยหุ้นกันซื้อขนมปังกับน้ำช้อคโกแล็ตแทน
          เข้าร้านนี้เราก็ได้ข้อคิดว่า ทำไมเราไม่หาซื้ออาหารกระป๋องไปกินที่บ้านบ้างล่ะ ว่าแล้วก็หาดูน้ำปลา แต่เห็นเป็นของเวียตนาม ปลากระป๋องก็ไม่แน่ใจ คิดว่าเอาไว้ไปหาซื้อที่ตลาดในเมืองน่าจะดีกว่า
          ออกร้านนี้ไปร้านขายอาหารแบบร้านข้าวแกงบ้านเรา ซื้อข้าวผัด 1 กล่องเอากล่องขนาดค่อนข้างเล็ก 9.50 ดอลนะ รู้ก็รู้ว่าแพง เกือบ 300 บาท แต่ก็ต้องเอา เพราะหิว และก็เบื่อขนมปังด้วย ข้าวผัดกล่องนี้ใส่ลูกเกด หอมใหญ่ เม็ดถัวลันเตา แครอท และมะเขือเทศ กลิ่นไหม้ๆอย่างไรไม่รู้ หวานนิดๆ เลี่ยนๆ วันนี้กินไปบ่นไป (ไม่อร่อย แถมแพงอีกต่างหาก)
          ก่อนไปนั่งทานอาหาร เข้าห้องน้ำก่อน แต่พอจะล้างมือ กลับหาก๊อกน้ำไม่เจอ ที่ไหนได้ เด็กหนุ่มคงขำกะเหรี่ยงจาก Thailand พอมาถึงกดด้านหน้าอ่างที่เป็นสแตนเลสสี่เหลี่ยมยาวๆกะเหรี่ยงแบบเราเลยเอาตาม และที่นี่มีห้องอาบน้ำให้ด้วยนะ ฟรี และบริเวณที่ขึ้นมาจากชายหาดก็มีเหมือนกัน ที่เห็นก็อีก 2 จุด
          บริเวณนี้มีโต๊ะสำหรับนั่งทานอาหาร หรือสำหรับปิคนิคประมาณ 5 โต๊ะ มีต้นไม้ใหญ่ล้อมรอบ บริเวณร่มรื่นดีมาก สักครู่สมพรกับพวกก็มานั่งด้วย สมพรจะซื้อขนมปังมาแถวหนึ่งกับแยม 1 ขวด แล้วมาทานด้วยกัน เห็นลักษณะการใช้เงินของสมพรแล้วก็ให้ข้อคิดดี คือ ไม่จำเป็นต้องซื้ออาหารสำเร็จรูปที่ราคาแพง แต่ซื้อแบบแยกชิ้นจะประหยัดกว่ามาก และในกรณีแบบเราถ้าอยากกิน ให้ซื้อขนาดเล็กสุดมากินก่อน ถ้าไม่อร่อยก็ไม่ค่อยเสียดายตังค์ แต่ถ้าอร่อยก็ซื้อเพิ่มได้
          ที่นี่จะมีดอกไม้สวยๆ แปลกๆ 2-3 แบบ ถ่ายรูปไว้ดูเล่น ไม่รู้ว่าจะหน้าแตกหรือเปล่าถ้ามีในเมืองไทย เพราะเรื่องของดอกไม้นี่เราไม่มีความรู้เลย
          คนขับพาไปอุทยาน Noosaville แต่ต้องเดินขึ้นไกล และเวลากระชั้นเลยได้แต่ผ่านไปเท่านั้น และที่นี่เองได้เห็นสามล้อเครื่องทำด้วยช้อปเปอร์เป็นครั้งแรก แต่ถ่ายรูปไม่ทันเช่นเคย
          ขากลับไปแวะถ่ายรูปกันที่ Under Water World ไม่มีเวลาเข้าไปดูข้างใน และอีกอย่างค่าตั๋วก็แพงมากด้วย ถ้าเที่ยวแบบนี้ตลอด ตังค์ที่เตรียมมาหมดก่อนแน่
          ออกจากที่นี่ 3:40 กว่าจะถึง City ก็ 5 โมงกว่ารถหมดแล้ว แต่น้องอูมบอกว่า รถเราเหมาถึง 3 ทุ่ม เพราะฉนั้นใครอยู่ไกล คนขับจะไปส่งถึงบ้าน เราก็โล่งใจ และอีกอย่างที่ด้านข้างคนขับเราเห็นสมุดแผนที่แบบที่บ้านโรบินยิ่งทำให้อุ่นใจมากขึ้น
          ขากลับเห็นรถพ่วงที่พ่วงเรือ และรถที่เอาเรือพาดบนหลังคาหลายคัน คนที่นี่คงสนุกกับวันสุดสัปดาห์ ใช้เวลาช่วงนี้อย่างคุ้มค่า ไม่ทราบว่าเงินเดือนที่ได้ กับค่าใช้จ่ายในส่วนนี้สัมพันธ์กันมากน้อยแค่ไหน ถึงอย่างไรคงไม่โหดเท่าค่าของเงินบาทไทย
          ใจหนึ่งอยากสังเกตข้างทาง แต่ร่างกายบอกให้หลับ จึงหลับตามที่ใจสั่งมา
          มาตื่นก็เกือบถึง City แล้ว มองข้างทางก็ไม่รู้ว่าเป็นที่ไหน แต่ตึกรามบ้านช่องสวยมาก แล้วน้องแอนก็ลงรถ พอรถผ่านมาอีกหน่อย อ๋อ…..แถวนี้เอง แถวฝั่งที่เราเดินข้ามสะพาน William Jolly แต่เราเดินไปไม่ถึง วันหลังได้มาเยือนแน่
          คนอื่นๆลงที่ Cultural Centre Station คงเหลือเรา 3 คนเท่านั้น เราบอกคนขับว่าไป Regent Park เขารู้ทาง เราเลยเปิดแผนที่หน้า 240 แล้วชี้ให้เขาดูอีกครั้ง ชัวร์เลย
ตอนกลับนี่ก็งงกับเส้นทางนะ แต่สังเกตอาคาร และทำเล แถวนี้บ้านจะอยู่บนเนินสูงสลับกันไป บางช่วงก็ขับขึ้นเนินที่ค่อนข้างอันตราย แต่เขาก็จะมีป้ายเตือนตลอด
          แต่ป้ายที่งงนะ The blind man cross here. คนตาบอดจะอ่านได้หรือ อิอิอิ
          ส่ง 2 คนก่อนแล้วไปส่งเราที่บ้าน จากจุดที่ 2 คนลงกับบ้านเรา ไม่ห่างกันเท่าไหร่เลยนะ เอาไว้เดินไปคุยกันได้เลย
          กลับถึงบ้าน โรบินเอาอาหารมาให้ทาน มันฝรั่งบด ถั่วฝักยาวต้ม กับไส้กรอกเค็มอีก 3 ชิ้น ลองทายซิว่า เราจะทานได้แค่ไหน
          วันนี้เพลียมาก ไม่ทันได้ทำอะไรก็หมดแรงก่อน ไปนอนละ

          ------------------------------------------------------
 สะพาน Victory
 ที่ Aussie World
 ชายหาด Sunshine Coast
 ปิกนิกกันอย่างเอร็ดอร่อย (คนอื่นๆนะ)

ไม่มีความคิดเห็น: